แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่ทนายจำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยจะนำเงินจำนวน 750,000 บาท มาวางศาลในวันที่ 14 มิถุนายน 2545 เวลา 9 นาฬิกา โดยในวันดังกล่าวโจทก์จะนำโฉนดที่ดินเลขที่ 32270, 32271, 32272 และ 32273 ตำบลท่าข้าม อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม มามอบให้กับจำเลยเพื่อให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนโดยเสียค่าธรรมเนียมเองและหากจำเลยไม่ดำเนินการตามที่ได้แถลง ให้ถือว่าจำเลยไม่ประสงค์จะบังคับผลตามคำพิพากษาโจทก์และทนายโจทก์แถลงไม่ค้านนั้น การแถลงของทนายจำเลยและโจทก์ดังกล่าวเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ได้กระทำต่อศาลชั้นต้นตามความใน ป.วิ.พ. มาตรา 1 (7) มิใช่การแสดงเจตนาต่อกันในฐานะคู่สัญญาที่จะก่อให้เกิดข้อตกลงที่มีผลใช้บังคับระหว่างกันได้ แม้จำเลยไม่ได้นำเงินจำนวน 750,000 บาท มาวางศาลตามที่แถลงก็ตาม ก็จะถือว่าจำเลยไม่ประสงค์จะบังคับผลตามคำพิพากษามิได้ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยไม่สามารถหาเงินจำนวน 750,000 บาท มาวางศาลได้ จึงไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันในนัดที่แล้ว ถือว่าจำเลยไม่ประสงค์จะบังคับตามผลคำพิพากษานั้น เป็นคำสั่งนอกเหนือคำบังคับ ย่อมเป็นการไม่ชอบเพราะแม้ว่าจำเลยไม่ได้นำเงินจำนวน 750,000 บาท มาวางศาลตามที่แถลง ก็จะถือว่าจำเลยไม่ประสงค์จะบังคับตามผลคำพิพากษาไม่ได้ เป็นการนอกเหนือคำพิพากษา ทั้งมิใช่ข้อตกลงของโจทก์และจำเลย หากโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์ก็ชอบที่จะดำเนินการออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยเพื่อให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นได้ต่อไป
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ และบังคับตามฟ้องแย้งให้โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 32270, 32271, 32272 และ 32273 ตำบลท่าข้าม อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 49 หมู่ที่ 6 ให้แก่จำเลยในราคา 1,020,000 บาท โดยให้จำเลยชำระราคาส่วนที่เหลือจำนวน 750,000 บาท หากโจทก์ไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ต่อมาศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำบังคับ จำเลยทราบคำบังคับแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ
วันที่ 22 มกราคม 2545 โจทก์ยื่นคำร้องว่า ครบกำหนดระยะเวลาตามคำบังคับแล้วจำเลยไม่ดำเนินการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและชำระราคาส่วนที่เหลือแก่โจทก์ ถือว่าจำเลยสละสิทธิที่จะรับประโยชน์ตามผลของคำพิพากษาขอให้มีคำสั่งถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม สาขาสามพราน เพิกถอนคำสั่งห้ามทำนิติกรรมใดๆ เกี่ยวกับโฉนดที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงข้างต้น
วันที่ 15 มีนาคม 2545 ศาลชั้นต้นนัดพร้อม ทนายจำเลยแถลงว่าจะนำเงินจำนวน 750,000 บาท มาวางศาลในวันที่ 14 มิถุนายน 2545 เวลา 9 นาฬิกา โดยในวันดังกล่าวโจทก์จะนำโฉนดที่ดินพิพาททั้งสี่แปลง มามอบให้จำเลยเพื่อให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนโดยเสียค่าธรรมเนียมเอง และหากจำเลยไม่ดำเนินการตามที่ได้แถลง ให้ถือว่าจำเลยไม่ประสงค์จะบังคับผลตามคำพิพากษา
วันที่ 14 มิถุนายน 2545 จำเลยและทนายจำเลยแถลงว่าไม่สามารถหาเงินจำนวน 750,000 บาท แต่ได้นำแคชเชียร์เช็คจำนวน 100,000 บาท มามอบให้โจทก์ ส่วนเงินที่เหลือจะขอวางภายในเดือนตุลาคม และขอโอนตามคำพิพากษา โจทก์แถลงว่าศาลฎีกามีคำพิพากษาตั้งแต่ปี 2539 บัดนี้ล่วงเลยระยะเวลามานานแล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาและในวันนี้โจทก์ได้นำโฉนดที่ดินมาพร้อมโอนแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยไม่สามารถหาเงินจำนวน 750,000 บาท มาวางศาลได้จึงไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันในนัดที่แล้ว ดังนั้น จึงถือว่าจำเลยไม่ประสงค์จะบังคับตามผลคำพิพากษา ให้มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมสาขาสามพราน เพิกถอนคำสั่งห้ามทำนิติกรรมใดๆ เกี่ยวกับที่ดินโฉนดพิพาททั้งสี่แปลง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่ทนายจำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยจะนำเงินจำนวน 750,000 บาท มาวางศาลในวันที่ 14 มิถุนายน 2545 เวลา 9 นาฬิกา โดยในวันดังกล่าวโจทก์จะนำโฉนดที่ดินเลขที่ 32270, 32271, 32272 และ 32273 ตำบลท่าข้าม อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม มามอบให้กับจำเลยเพื่อให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนโดยเสียค่าธรรมเนียมเองและหากจำเลยไม่ดำเนินการตามที่ได้แถลง ให้ถือว่าจำเลยไปประสงค์จะบังคับผลตามคำพิพากษาโจทก์และทนายโจทก์แถลงไม่ค้านนั้น การแถลงของทนายจำเลยและโจทก์ดังกล่าวเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ได้กระทำต่อศาลชั้นต้นตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (7) มิใช่การแสดงเจตนาต่อกันในฐานะคู่สัญญาที่จะก่อให้เกิดข้อตกลงที่มีผลใช้บังคับระหว่างกันได้ แม้จำเลยจะแถลงว่าจำเลยจะนำเงินจำนวน 750,000 บาท มาวางศาลในวันที่ 14 มิถุนายน 2545 เวลา 9 นาฬิกา หากไม่ดำเนินการตามที่ได้แถลงให้ถือว่าจำเลยไม่ประสงค์จะบังคับผลตามคำพิพากษา และจำเลยไม่ได้นำเงินจำนวน 750,000 บาท มาวางศาลตามที่แถลงก็ตาม ก็จะถือว่าจำเลยไม่ประสงค์จะบังคับผลตามคำพิพากษามิได้ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยไม่สามารถหาเงินจำนวน 750,000 บาท มาวางศาลได้จึงไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันในนัดที่แล้ว ถือว่าจำเลยไม่ประสงค์จะบังคับตามผลคำพิพากษานั้น เป็นคำสั่งนอกเหนือคำบังคับ ย่อมเป็นการไม่ชอบเพราะแม้ว่าจำเลยไม่ได้นำเงินจำนวน 750,000 บาท มาวางศาลตามที่แถลงก็จะถือว่าจำเลยไม่ประสงค์จะบังคับตามผลคำพิพากษาไม่ได้เป็นการนอกเหนือคำพิพากษาทั้งมิใช่ข้อตกลงของโจทก์และจำเลย หากโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์ก็ชอบที่จะดำเนินการออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยเพื่อให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นได้ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 22 มกราคม 2545