คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4656/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิด2กรรมตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายตามมาตรา7ซึ่งมีโทษตามมาตรา72วรรคสามจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีกับฐานพาอาวุธปืนไปตามมาตรา8ทวิวรรคสองซึ่งมีโทษตามมาตรา72ทวิวรรคสองจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีนั้นความผิดที่โจทก์ฟ้องมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่ถึงสิบปีแม้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่ระบุว่าวรรคใดก็ต้องถือเอาคำขอที่สอดคล้องกับคำบรรยายฟ้องเป็นสำคัญกรณีเช่นนี้ศาลไม่ต้องสอบถามจำเลยในเรื่องทนายก่อนเริ่มพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา173เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้ ในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษไว้แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาลศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ลงโทษฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในที่ชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการนมัสการ การรื่นเริง การมหรสพหรือการอื่นใดโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 9 เดือน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงถึง 10 ปีแต่ศาลชั้นต้นมิได้ถามจำเลยว่ามีทนายหรือไม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องแล้วพิพากษาไปตามรูปคดี โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 บัญญัติว่า “ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไปก่อนเริ่มพิจารณา ให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายหรือไม่ ถ้าไม่มีและจำเลยต้องการก็ให้ศาลตั้งทนายให้ ฯลฯ” คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยเป็น 2 กรรม ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย อันเป็นความผิดตามมาตรา 7 และต้องลงโทษตามมาตรา 72 วรรคสาม ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท กับฐานพาอาวุธปืนไปในชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้นเพื่อนมัสการ การรื่นเริง การมหรสพ อันเป็นความผิดตามมาตรา 8 ทวิ วรรคสองและต้องลงโทษตามมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีและปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท ดังนั้นข้อหาความผิดที่โจทก์ฟ้องจึงมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่ถึงสิบปี แม้คำขอของโจทก์ไม่ระบุว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามวรรคใด ก็ต้องถือเอาคำขอที่สอดคล้องกับคำบรรยายฟ้องเป็นสำคัญ ศาลชั้นต้นจึงไม่จำต้องสอบถามจำเลยในเรื่องทนายเสียก่อนเริ่มพิจารณาเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น ปรากฏว่าในชั้นอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษไว้ แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ได้เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share