คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาขายฝากที่ดินมือเปล่าที่โจทก์นำมาฟ้องมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็นโมฆะและถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยทำขึ้นโดยมีเจตนาทำแทนสัญญากู้ จำเลยมิได้มีเจตนาสละสิทธิการครอบครองแล้ว ถึงหากโจทก์จะได้ยึดถือที่พิพาทมาบ้างเสียภาษีบำรุงท้องที่บ้างโจทก์ก็คงมีฐานะเพียงเป็นผู้ยึดถือที่พิพาทในฐานะเป็นผู้แทนจำเลยเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายฝากที่ดินมือเปล่าไว้กับโจทก์ ในวันทำสัญญาจำเลยได้มอบที่ดินให้โจทก์ครอบครองยึดถือ ครบกำหนดจำเลยไม่ไถ่คืน โจทก์ได้แจ้งอำเภอเสียภาษีบำรุงท้องที่ ต่อมาจำเลยขออาศัยอยู่ แล้วแสดงจะเอาที่ดิน ขอให้ศาลขับไล่

จำเลยให้การว่า สัญญาขายฝากทำกันเองเป็นโมฆะ จำเลยไม่ได้มอบที่ดินให้โจทก์ครอบครอง จำเลยทำสัญญาขายฝากแทนสัญญากู้เงิน

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว คดีฟังได้ว่าสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทเป็นสัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันเอง มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 สัญญาขายฝากจึงเป็นโมฆะ แต่ก็ใช่จะไร้ผลเสียทีเดียว ยังคงมีผลเป็นการแสดงเจตนาได้อยู่ว่า คู่สัญญาจึงเจตนาต่อกันอย่างไร เพราะที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญการแสดงเจตนาย่อมมีความสำคัญแก่การที่จะวินิจฉัยว่าฝ่ายใดได้สิทธิครอบครองประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยจึงมีว่าสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้อง โจทก์จำเลยมีเจตนาจะให้มีผลว่า ถ้าจำเลยไม่ไถ่ภายในกำหนด จำเลยยอมให้ที่หลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์หรือว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาเพียงทำสัญญาขายฝากแทนสัญญากู้ ในประเด็นดังกล่าว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสัญญาขายฝากที่โจทก์นำมาฟ้อง โจทก์จำเลยตกลงทำขึ้นโดยมีเจตนาทำแทนสัญญากู้ มิได้มีเจตนาสละสิทธิการครอบครองโดยให้หลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์เมื่อพ้นกำหนดไถ่คืน หากจะมีข้อเท็จจริงฟังได้ต่อไปว่าโจทก์ได้ยึดถือที่ดินพิพาทบ้าง และเคยเสียภาษีบำรุงท้องที่บ้างโจทก์ก็มีฐานะเพียงเป็นผู้ยึดถือที่พิพาทในฐานะเป็นผู้แทนจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 เท่านั้น จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ที่ศาลล่างพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นด้วย

พิพากษายืน

Share