แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายคำฟ้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงในเรื่องรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย และโจทก์เรียกให้จำเลยรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 6 ตามคำฟ้องของโจทก์จึงขอเรียกค่าเสียหายใด ๆ อันเนื่องมาจากความรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อในกรณีรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย ส่วนที่โจทก์กล่าวอ้างว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายโดยเป็นความผิดของจำเลย แต่ได้ความจากทางพิจารณาว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายโดยมิใช่ความผิดของจำเลย เป็นเรื่องของการรับฟังข้อเท็จจริงซึ่งศาลจะนำมาวินิจฉัยความรับผิดของจำเลยตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 6 ดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายโดยมิใช่ความผิดของจำเลยและกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยไปตามคำฟ้องของโจทก์ มิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายและภาษีมูลค่าเพิ่มรวมเป็นเงิน 78,858.24 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 130,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 10 มกราคม 2551) เป็นต้นจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความรวม 1,500 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์นั้น ชอบแล้วหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายคำฟ้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงในเรื่องรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย และโจทก์เรียกให้จำเลยรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 6 ตามคำฟ้องของโจทก์จึงขอเรียกค่าเสียหายใด ๆ อันเนื่องมาจากความรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อในกรณีรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย ส่วนที่โจทก์กล่าวอ้างว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายโดยเป็นความผิดของจำเลย แต่ได้ความจากทางพิจารณาว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายโดยมิใช่ความผิดของจำเลย เป็นเรื่องของการรับฟังข้อเท็จจริงซึ่งศาลจะนำมาวินิจฉัยความรับผิดของจำเลยตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 6 ดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายโดยมิใช่ความผิดของจำเลยและกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยไปตามคำฟ้องของโจทก์ มิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องดังที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด ปัญหาต้องพิจารณาต่อไปว่า โจทก์เรียกค่าเสียหายในกรณีนี้ได้หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 6 กำหนดความรับผิดกรณีรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายโดยเป็นความผิดของผู้เช่าซื้อและมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อไว้แตกต่างกัน หากเป็นความผิดของผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อจะต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อจนครบถ้วนตามสัญญา ซึ่งเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าเท่ากับค่าเช่าซื้อส่วนที่ยังค้างชำระอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ แต่หากรถยนต์สูญหายโดยมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อเช่นในคดีนี้ ความรับผิดของผู้เช่าซื้อจำกัดเพียงค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับ หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืน ค่าทนายความ หรือค่าใช้จ่ายอื่นใด เพียงเท่าที่เจ้าของได้ใช้จ่ายไปจริงตามความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายจากจำเลยได้ตามข้อสัญญาดังกล่าว แต่ในส่วนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามทรัพย์สินที่เช่าซื้อ ค่าทนายความหรือค่าใช้จ่ายอื่นใดนั้น โจทก์มิได้นำสืบถึง กรณีจึงต้องพิจารณาเฉพาะค่าเสียหายจากการที่รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายโดยมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ แต่ข้อสัญญาที่กำหนดความรับผิดกรณีดังกล่าวหาได้กำหนดค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อต้องชำระเพื่อใช้แทนราคารถยนต์ จึงมิใช่ข้อตกลงกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในลักษณะเบี้ยปรับ และโจทก์ไม่อาจเรียกค่าเสียหายเป็นราคารถยนต์ใช้แทนได้ ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นราคารถยนต์ใช้แทนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงกำหนดเป็นค่าเสียหายกรณีรถยนต์สูญหายโดยมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ โดยมีข้อพิจารณาว่า หากจำเลยชำระค่าเช่าซื้อครบ 24 งวด โจทก์จะได้รับผลประโยชน์เป็นเงิน 46,519.68 บาท แต่คดีนี้โจทก์ได้รับผลประโยชน์จากค่าเช่าซื้อที่จำเลยผ่อนชำระแล้ว 5 งวดเศษ รถยนต์ก็สูญหายไปโดยมิใช่ความผิดของจำเลย แต่ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ 130,000 บาท ยังสูงเกินควร จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เพียง 36,000 บาท ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นเป็นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 36,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์ ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้แทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ