คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4644/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อกำหนดให้ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาได้ในกรณีผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดและเมื่อผู้ให้เช่าซื้อเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อแล้ว ถ้าขายได้ราคาไม่พอชำระค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อยังคงต้องชำระตามสัญญารวมถึงค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดหักด้วยค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระแล้ว ผู้เช่าซื้อตกลงจะชดใช้เงินจำนวนที่ขาดนั้นให้แก่เจ้าของ ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงเรียกค่าเสียหายตามสัญญาเช่าซื้อ การฟ้องเรียกค่าเสียหายดังกล่าวมิใช่เป็นการเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ และไม่ใช่เป็นกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจในการให้เช่าสังหาริมทรัพย์เรียกเอาค่าเช่า จึงไม่ตกอยู่ในอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (6) ทั้งไม่ใช่เป็นคดีที่ผู้ให้เช่าฟ้องผู้เช่าเกี่ยวกับสัญญาเช่าที่อยู่ในอายุความ 6 เดือน เมื่อไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 193/30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2538 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อพร้อมกระบะ ไปจากโจทก์ในราคา 1,508,904.72 บาท ตกลงชำระงวดละ 41,914.02 บาท รวม 36 งวด ชำระงวดแรกวันที่ 24 กรกฎาคม 2538 งวดต่อไปทุกวันที่ 24 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบ โดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 20 เป็นต้นมา โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่คืนรถยนต์ให้โจทก์ จนวันที่ 20 มีนาคม 2541 โจทก์ติดตามยึดรถยนต์คืนได้และนำออกประมูลขายได้เงินเพียง 363,636.37 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดราคา 348,901.97 บาท และค่าเช่าซื้อค้างชำระรวม 12 เดือน เป็นเงิน 502,968.24 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 851,869 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 4 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 348,901.97 บาท แก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยโจทก์และจำเลยที่ 4 ไม่ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2538 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อ หมายเลขเครื่อง พีอี 6 – 183605 ไปจากโจทก์ ในราคา 1,508,904.72 บาท กับภาษีมูลค่าเพิ่ม 105,623.28 บาท ตกลงชำระ 36 งวดๆละ 41,914.02 บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 24 กรกฎาคม 2538 และงวดต่อไปทุกวันที่ 24 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบ หากจำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าเช่าซื้องวดใดหรือชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบตามจำนวนถึง 2 ครั้งและโจทก์มีหนังสือทวงถามแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้ครบภายใน 7 วันนับแต่วันได้รับหนังสือ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญา โดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อ สัญญาค้ำประกันและสำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานเอกสารหมาย จ. 8 ถึง จ. 13 ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 20 ประจำวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2540 โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 ไม่ยอมส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2541 โจทก์ติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาได้ คดีมีปัญหาข้อกฎหมายวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาจำเลยที่ 4 ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยจำเลยที่ 4 ฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์ข้อ 5.2 บรรยายขอให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่ขาดมิใช่ขอให้ชำระค่าเสียหายจึงมีอายุความ 2 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความนั้น เห็นว่า ตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ. 8 ข้อ 4 (ข) ได้กำหนดให้ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาได้ในกรณีผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดและเมื่อผู้ให้เช่าซื้อเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อแล้ว ถ้าขายได้ราคาไม่พอชำระค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อยังคงต้องชำระตามสัญญารวมถึงค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดหักด้วยค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระแล้ว ผู้เช่าซื้อตกลงจะชดใช้เงินจำนวนที่ขาดนั้นให้แก่เจ้าของ ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงเรียกค่าเสียหายตามสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้นตามคำฟ้องข้อ 5.2 ที่โจทก์บรรยายว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายเป็นค่าเช่าซื้อส่วนที่ขาดโดยโจทก์นำทรัพย์ที่เช่าซื้อออกประมูลขายโดยเปิดเผยได้ในราคา 363,636.37 บาท เมื่อนำราคาที่ขายรวมกับค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ชำระมาแล้วจำนวน 796,366.38 บาท เป็นเงินที่โจทก์ได้ชำระมาแล้วจำนวน 1,160,002.75 บาท หักกับราคาเช่าซื้อทั้งหมดที่ต้องชำระตามสัญญา ยังคงมีค่าเช่าซื้อที่ขาดอยู่จำนวน 348,901.97 บาท ซึ่งเป็นการคิดคำนวณค่าเสียหายตามที่ตกลงไว้ในสัญญาเช่าซื้อข้อ 4 (ข) จึงเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายตามสัญญาเช่าซื้อในลักษณะที่เป็นค่าขาดราคารถยนต์ หาใช่เป็นการเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระเนื่องจากไม่ได้นำค่าเช่าซื้อที่ชำระแล้วมาหักค่าเช่าซื้อทั้งหมดตามสัญญา และไม่ใช่เป็นกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจในการให้เช่าสังหาริมทรัพย์เรียกเอาค่าเช่าจึงไม่ตกอยู่ในอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (6) ทั้งไม่ใช่เป็นคดีที่ผู้ให้เช่าฟ้องผู้เช่าเกี่ยวกับสัญญาเช่าที่อยู่ในอายุความ 6 เดือน ดังที่จำเลยที่ 4 ฎีกา แต่การฟ้องเรียกค่าเสียหายตามสัญญาเช่าซื้อไม่มีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 คดีนี้โจทก์ได้รับรถยนต์คืนวันที่ 20 มีนาคม 2541 และฟ้องคดีเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2543 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความและเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวในคำฟ้องแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่เกินหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 248,901 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share