แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา และจำเลยที่ 3 มิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 และกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ดังนั้นจำเลยที่ 3 จะฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยจากจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้นไม่ได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ผู้รับประกันภัยฟ้องจำเลยผู้ทำละเมิดให้รับผิดต่อโจทก์ในฐานะโจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 สิทธิของโจทก์ย่อมเกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่โจทก์ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นต้นไปโดยมิต้องบอกกล่าว จึงชอบที่จะคิดดอกเบี้ยได้นับแต่วันที่โจทก์ชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นต้นไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกยี่ห้ออีซูซุหมายเลขทะเบียน ๖ น ๒๕๘๗ กรุงเทพมหานครของบริษัทซัมมิทอินดัสเตรียลคอปอเรชั่น จำกัด จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อยี่ห้อฮีโน่คันหมายเลขทะเบียน น-๓๕๘๑ ชลบุรีและเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนไปปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างหรือได้รับมอบหมายของจำเลยที่ ๒ ผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อคันดังกล่าวโดยจำเลยที่ ๒ เช่าซื้อมาจากผู้อื่นจำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันที่จำเลยที่ ๒ เช่าซื้อมาดังกล่าวเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๒๓ เวลา ๑๑ นาฬิกาเศษนายสละสุขสว่างลูกจ้างของบริษัทซัมมิทอินดัสเตรียลคอปอเรชั่น จำกัด ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๖ น ๒๕๘๗ กรุงเทพมหานครบรรทุกน้ำมันก๊าซโซลิน ๘,๐๐๐ ลิตรจากคลังน้ำมันอำเภอศรีราชาไปส่งปั๊มน้ำมันที่อำเภอแกลงจังหวัดระยองไปตามถนนสายศรีราชา-ระยองได้ชนรถที่นายสละจอดอยู่เป็นเหตุให้รถที่นายสละขับมากระเด็นตกลงไปพลิกคว่ำน้ำมันก๊าซโซลินไหลออกจากถังบรรจุทั้งหมดรถที่นายสละขับเสียหายขับไปไม่ได้คิดค่าเสียหายทั้งสิ้นเป็นเงิน ๒๓๙,๘๖๐ บาทซึ่งโจทก์ได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวเป็นงวด ๆ ให้ผู้เอาประกันภัยไปเรียบร้อยแล้วโจทก์จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยทั้งสามขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๒๔๗,๕๐๑ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน ๒๓๙,๘๖๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ ให้การยอมรับว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถด้วยความประมาทจริงแต่นายสละ สุขสว่างมีส่วนประมาทร่วมด้วยโดยนายสละจอดรถกีดขวางผิวจราจรซึ่งไม่อาจทำให้จำเลยที่ ๑ หลีกเลี่ยงได้ทันดังนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นต้องถัวเฉลี่ยวความรับผิดซึ่งกันและกันด้วยตามกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น-๓๕๘๑ ชลบุรีจำกัดความรับผิดในความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอกในวงเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงิน ๒๓๙,๘๖๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ และที่ ๓
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๒๔๗,๕๐๑ บาทแก่โจทก์โดยให้จำเลยที่ ๓ รับผิดในวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน ๒๓๙,๘๖๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปแก่โจทก์แต่เฉพาะจำเลยที่ ๓ คงให้รับผิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทนับแต่วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๒๓ ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ชำระเงินค่าซ่อมรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้จนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสำหรับข้อที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่าทางพิจารณาไม่มีพยานโจทก์ยืนยันแน่ชัดว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ และกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยจากจำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้นจำเลยที่ ๓ มิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นในเรื่องนี้ไว้จึงฎีกาในข้อนี้ไม่ได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนข้อที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาต่อไปว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้นับแต่วันฟ้องเพราะโจทก์มิได้ทวงถามก่อนนั้นเห็นว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้รับผิดต่อโจทก์ในฐานะโจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๐ สิทธิของโจทก์ย่อมเกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่โจทก์ได้ชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นต้นไปโดยมิต้องบอกกล่าวโจทก์จึงชอบที่จะคิดดอกเบี้ยได้นับแต่วันที่โจทก์ชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นต้นไปศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาจำเลยที่ ๓ ฟังไม่ขึ้นแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ ๓ รับผิดในดอกเบี้ยจากต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๒๓ ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ชำระเงินค่าซ่อมรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้จนกว่าจะชำระเสร็จด้วยนั้นเป็นการพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ รับผิดในดอกเบี้ยที่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาบังคับให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดในตอนต้นแล้วซ้อนกันอีกจึงเป็นการไม่ชอบ
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๒๔๗,๕๐๑ บาทแก่โจทก์โดยให้จำเลยที่ ๓ รับผิดในวงเงิน๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีโดยจำเลยที่ ๒ คิดจากต้นเงิน ๒๓๙,๘๖๐ บาทส่วนจำเลยที่ ๓ คิดจากต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.