คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4629/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การใช้อำนาจยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12ต้องกระทำภายในสิบปี นับแต่วันอาจใช้อำนาจดังกล่าวได้เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2517 และแจ้งการประเมินภาษีการค้าให้โจทก์ทราบในเดือนสิงหาคม 2518 เมื่อโจทก์ทราบการประเมินแล้วไม่ชำระ จำเลยชอบที่จะใช้อำนาจยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 12 แต่จำเลยเพิ่งมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ของโจทก์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2530 อันเป็นเวลาล่วงเลยกำหนดระยะเวลาสิบปีการยึดของจำเลยจึงไม่ชอบ การฟ้องขอให้เพิกถอนการยึดมิใช่กรณีการฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมิน จึงไม่จำต้องอุทธรณ์การประเมินโจทก์มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ทำการยึดทรัพย์ของโจทก์คือที่ดินโฉนดเลขที่ 107307 และ 107308 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 8/100 หมู่ที่ 3 แขวงคันนายาว เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานครโดยอ้างว่าโจทก์ค้างชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าจำนวน 480,367.64 บาท ในระหว่างที่โจทก์ประกอบการค้า ณ สถานการค้าเลขที่ 953-955 ซึ่งความจริงแล้วการประกอบการค้า ณ สถานที่ดังกล่าวนี้ได้กระทำโดย นายเกษม ทวีวัฒน์ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2501-2517 มาโดยตลอด โจทก์มิได้รู้เห็นหรือยินยอมหรือมีส่วนร่วมด้วยแต่ประการใด ดังนั้น การยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยจึงมิชอบและขาดอายุความแล้ว ขอให้เพิกถอนการประเมินและการยึดทรัพย์ของเจ้าพนักงานจำเลย และให้ชดใช้ค่าเสียหายเท่ากับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 480,367.64 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะเพิกถอนการยึดทรัพย์สินของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเมื่อโจทก์ได้รับหนังสือแบบแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าแล้วโจทก์ไม่ชำระภายในกำหนดและมิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินภายในกำหนด 30 วัน จึงเป็นภาษีอากรค้าง จำเลยจึงมีอำนาจสั่งยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์เพื่อขายทอดตลาดนำเงินชำระค่าภาษีอากรค้างชำระ เงินเพิ่มและภาษีบำรุงเทศบาลตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12โดยชอบ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการยึดทรัพย์แต่อย่างใด จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษา ให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ของโจทก์และยกฟ้องคำขอให้เพิกถอนการประเมิน
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ตามคำสั่งที่ บร.0334/2530 ลงวันที่ 2 เมษายน2530 ในส่วนที่เกี่ยวกับแบบแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฉบับที่ ต. 4/1049/1/07968-07972 ลงวันที่ 11 มกราคม 2517และแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้า ฉบับที่ ต. 4/1049/3/00904-00909ลงวันที่ 11 มกราคม 2517 หรือไม่ กรณีเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานของจำเลยยึดทรัพย์ของโจทก์ผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์ขอให้เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ เห็นว่า การยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากร ในกรณีนี้นั้นประมวลรัษฎากรมาตรา 12 วรรคสี่ บัญญัติว่า “วิธีการยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สินให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม”ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 บัญญัติว่า “คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดี (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง” ดังนั้น การใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 จึงต้องใช้ภายในกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันที่จะใช้อำนาจตามมาตรานี้ได้ ข้อเท็จจริงได้ความตามคำเบิกความของนายสุพจน์ สิงห์กาญจนาวงศา พยานจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาระหว่างปี พ.ศ. 2510-2514และภาษีการค้าระหว่างปี พ.ศ. 2510-2515 ตามเอกสารหมาย ล.1แผ่นที่ 119-129 ว่า ได้แจ้งการประเมินให้โจทก์ทราบโดยมีผู้อื่นรับไว้เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2517 สำหรับภาษีการค้าระหว่างปี พ.ศ. 2510-2515 ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 124-129 นั้นปรากฏตามเอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 3 ซึ่งเจ้าพนักงานของจำเลยได้ขอให้หัวหน้าเขตที่โจทก์มีภูมิลำเนาช่วยเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง เอกสารดังกล่าวออกในเดือนสิงหาคม 2518 แสดงว่าเจ้าพนักงานของจำเลยได้แจ้งการประเมินภาษีการค้าให้โจทก์ทราบก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งหลังจากโจทก์ได้รับแจ้งการประเมินแล้วไม่นำชำระจำเลยก็สามารถที่จะใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ได้จำเลยมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินของโจทก์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2530เอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 21 อันเป็นเวลาที่ล่วงกำหนดระยะเวลาสิบปีที่จะใช้อำนาจตามมาตรา 12 สำหรับภาษีอากรที่ค้างตามหนังสือแจ้งการประเมินที่เป็นกรณีพิพาท การยึดของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ค่าภาษีอากรในส่วนนี้จึงเป็นการไม่ชอบ โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการยึดในส่วนนี้ได้โดยไม่จำต้องอุทธรณ์การประเมินก่อนเพราะมิใช่เป็นเรื่องฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมิน ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share