คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 461/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยออกตั๋ว สัญญาใช้เงินให้โจทก์ โจทก์สลักหลังจำนำตั๋ว สัญญาใช้เงินดังกล่าวให้แก่จำเลยไว้เพื่อประกันหนี้ค่าซื้อขายหุ้นที่ อ.และพ. สั่งให้จำเลยซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และปรากฏว่า อ.และพ.ยังเป็นหนี้ค่าซื้อขายหุ้นอยู่อีก โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกตั๋ว สัญญาใช้เงินคืนจากจำเลยหรือเรียกร้องให้จำเลยใช้เงินตามตั๋ว นั้น.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวนเงิน1,170,000 บาท ซึ่งจำเลยเป็นผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวเมื่อถึงกำหนด โจทก์ได้ขอรับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้จำนำสลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทและส่งมอบให้แก่จำเลย เพื่อเป็นประกันการชำระเงินตามบัญชีหลักทรัพย์ของนายอรัญ ตันธนะ ศิริวงศ์ และนางสาวพรรณี อภิวงศ์ซึ่งบุคคลทั้งสองได้เปิดไว้กับจำเลย เนื่องจากบุคคลทั้งสองได้มอบให้จำเลยซื้อขายหลักทรัพย์แทน บุคคลทั้งสองเป็นหนี้ค่าหุ้นที่ส่งให้จำเลยซื้อขายโดยเป็นหนี้จำเลยอยู่จำนวนมาก จำเลยจึงดำเนินการบังคับจำนำและหักกลบลบหนี้เอาจากตั๋วสัญญาใชัเงินพิพาทหมดสิ้นไปแล้ว ไม่มีเงินเหลือคืนให้โจทก์อีก
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยได้สลักหลังจำนำตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับพิพาทให้แก่จำเลยไว้ เพื่อประกันหนี้ค่าซื้อขายหุ้นที่นายอรัญและนางสาวพรรณีสั่งให้จำเลยซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และปรากฏว่านายอรัญและนางสาวพรรณียังเป็นหนี้ค่าซื้อขายหุ้นอยู่อีกเช่นนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกตั๋วสัญญาใช้เงินคืนไปจากจำเลยหรือเรียกร้องให้จำเลยใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น…”
พิพากษายืน.

Share