แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญาจะแบ่งขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ไว้แล้ว ได้นำที่พิพาทไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความขาย ให้แก่จำเลยที่3 ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 โอนขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 3 โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวเพราะทำให้โจทก์ซึ่งอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนโอนที่พิพาทได้อยู่ก่อนเสียเปรียบ แต่ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทกับจำเลยที่1 ที่ 2 โดยรู้เท่าถึงความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ เสียเปรียบ จึงไม่เป็นการฉ้อฉล จำเลยที่ 3 ซึ่งมีสิทธิ ตามคำพิพากษาย่อมอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนโจทก์ ซึ่งมีเพียงสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทกับจำเลยที่1 ที่ 2
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2520 จำเลยที่ 1 และที่ 2ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9662อำเภอเมืองลพบุรี พร้อมด้วยตึกแถว 4 คูหาในที่ดินดังกล่าวให้โจทก์แบ่งในราคา 720,000 บาท และต่อมาได้จดทะเบียนจำนองที่พิพาทไว้กับโจทก์ 500,000 บาท แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้นำที่พิพาทไปทำสัญญาจะขายให้จำเลยที่ 3 ในราคา 880,000 บาท โดยสมยอมกันและรู้ถึงความจริงที่ทำให้โจทก์ผู้ซึ่งอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิในที่พิพาทได้ก่อนจำเลยที่ 3 เสียเปรียบ ต่อมาจำเลยที่ 3 ฟ้องจำเลยที่ 1และที่ 2 ต่อศาลจังหวัดลพบุรี แล้วจำเลยทั้งสามได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมว่าจำเลยที่ 1และที่ 2 ยอมขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 โดยจะไปจดทะเบียนโอนใน 7 วัน จึงขอให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนขายที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญาให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวเสีย หากไม่สามารถทำได้ก็ให้นำเอาที่พิพาทออกขายทอดตลาดชำระหนี้จำนองแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ดังฟ้อง แต่ได้จำนองไว้กับโจทก์ 500,000 บาทจริง การซื้อขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 3 ตลอดจนการทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลได้กระทำโดยสุจริต และจำเลยที่ 3 ให้การว่าได้ซื้อที่พิพาทไว้โดยสุจริตโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอน สัญญายอมและคำพิพากษาตามยอม
ก่อนสืบพยานโจทก์แถลงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไถ่จำนองแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อขายไว้ก่อนจำเลยที่ 3มีสิทธิที่จะจดทะเบียนได้ก่อนจำเลยที่ 3 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2จดทะเบียนขายที่พิพาทพร้อมด้วยตึกแถวให้แก่โจทก์ตามสัญญาพร้อมด้วยรับเงินส่วนที่เหลือหากไม่สามารถจะปฏิบัติได้ก็ให้ชดใช้ค่าเสียหายและคืนเงินมัดจำตามฟ้อง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ทำสัญญาแบ่งขายที่พิพาทให้โจทก์ตามเอกสาร จ.1 หลังจากที่ทำสัญญาไว้กับโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 3 และศาลพิพากษาตามยอมหลังจากจำเลยที่ 3 ยื่นฟ้องเพียง7 วัน ปรากฏตามคำพิพากษาศาลจังหวัดลพบุรีหมายเลขแดงที่ 285/2520แต่พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 โดยรู้เท่าถึงความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ต้องเสียเปรียบจึงไม่เป็นการฉ้อฉล จำเลยที่ 3 ซึ่งมีสิทธิตามคำพิพากษาย่อมอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนโจทก์ เพราะสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขาย จำเลยที่ 3 จึงมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ตกเป็นผู้ผิดสัญญาเพราะไม่สามารถโอนที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญา ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
พิพากษาแก้ ให้ยกคำขอบังคับเฉพาะเรื่องที่ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันจัดการรังวัดแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 9662พร้อมด้วยตึกแถวเลขที่ 48, 50, 52 และ 54 ให้แก่โจทก์