คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 239/2547

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 พาผู้เสียหายอายุ 13 ปีเศษขึ้นรถแล้วจำเลยที่ 2 พูดกับพวกของจำเลยว่าจะนำไปขายซ่อง ระหว่างอยู่บนรถจำเลยที่ 1 ใช้มือจับหน้าอก จำเลยที่ 3 ใช้มือจับอวัยวะเพศของผู้เสียหายส่วนจำเลยที่ 2 ใช้มือขวาจับพวงมาลัยรถและมือซ้ายลูบที่ขาของผู้เสียหายไปตลอดทาง พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า จำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนากระทำอนาจารผู้เสียหายมาแต่ต้น และเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน ถือได้ว่าความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารสำเร็จนับแต่จำเลยที่ 2 เริ่มพรากผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม
จำเลยที่ 2 กับพวกฉุดผู้เสียหายขึ้นไปบนรถระหว่างทางมีการกระทำอนาจารผู้เสียหายในวันเดียวกัน ต่อเนื่องกันไปไม่ขาดตอนเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่า ความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยขู่เข็ญและโดยการใช้กำลังประทุษร้ายกับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นความผิดคนละกรรมจึงไม่ถูกต้องศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ผู้มิได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ระบุวรรค แต่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) ระบุแต่เพียงให้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดมาในคำขอท้ายฟ้องเท่านั้น มิได้บังคับว่าจะต้องระบุวรรคใดด้วย ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ดังนั้น เมื่อศาลพิจารณาได้ความว่า จำเลยกระทำความผิดในวรรคใดก็พิพากษาว่ากระทำความผิดในวรรคนั้นได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2540 เวลากลางวันถึงเวลากลางคืนหลังเที่ยงต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสามโดยปราศจากเหตุอันสมควรร่วมกันพรากเด็กหญิงบุศรา อิ่มเพ็งผู้เสียหาย อายุ 13 ปีเศษ ซึ่งอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากความปกครองดูแลของนางระรวย อิ่มเพ็ง มารดาเพื่อการอนาจาร โดยผู้เสียหายไม่เต็มใจไปด้วย และจำเลยทั้งสามร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายโดยกักตัวไว้ภายในรถยนต์กระบะและฉุดรั้งตัวผู้เสียหายไว้ให้ร่วมเดินทางไปกับจำเลยทั้งสามยังสถานที่ต่าง ๆ โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมเป็นการทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำอนาจารผู้เสียหายซึ่งอายุยังไม่เกิน 15 ปี โดยขู่เข็ญว่าจะใช้อาวุธปืนยิงประทุษร้ายหากผู้เสียหายขัดขืนและได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายจับหน้าอกและอวัยวะเพศของผู้เสียหายโดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317, 310, 279, 91, 83 และริบอาวุธปืนของกลาง

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 279 วรรคสอง, 310 วรรคแรก, 317 วรรคสาม, 83 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยขู่เข็ญและโดยใช้กำลังประทุษร้ายจำคุก 2 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จำคุก 1 ปีฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร จำคุก 9 ปี รวมจำคุกคนละ 12 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี ริบอาวุธปืนของกลาง

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยคู่ความมิได้โต้เถียงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีโดยขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้าย ฐานหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายและฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีโดยขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายและฐานหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไม่เกินห้าปีคดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปีโดยขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายและหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง คงฎีกาได้เฉพาะความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสามหรือไม่ โจทก์มีเด็กหญิงบุศรา อิ่มเพ็งผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 15 นาฬิกา ขณะที่ผู้เสียหายยืนรอรถโดยสารประจำทางอยู่ที่ป้ายรถโดยสารประจำทางริมถนนประชา-สงเคราะห์ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร มีจำเลยที่ 2 ขับรถกระบะโดยมีจำเลยที่ 1 และที่ 3 นั่งมาด้วยมาหยุดรถตรงที่ผู้เสียหายยืนอยู่ แล้วจำเลยที่ 3 ได้ลงจากรถมาฉุดผู้เสียหายขึ้นไปบนรถ โดยให้ผู้เสียหายนั่งที่เบาะด้านหลัง มีจำเลยที่ 1 นั่งอยู่ด้านซ้ายมือส่วนจำเลยที่ 3 นั่งอยู่ด้านขวามือของผู้เสียหาย ระหว่างทางผู้เสียหายได้ยินจำเลยที่ 2 พูดขึ้นมาคำหนึ่งว่า ขายซ่อง จำเลยที่ 2 ขับรถมาที่บ้านของนายหมัดที่อำเภอบางบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามพาผู้เสียหายไปที่ร้านอาหารสีกุกเพื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วทุกคนพากันขึ้นรถ จำเลยที่ 2 ขับรถไปส่งนายหมัดที่บ้านแล้วจำเลยที่ 2 ขับรถออกจากบ้านนายหมัดโดยจำเลยที่ 1 และที่ 3 นั่งอยู่ที่เบาะหลังระหว่างอยู่บนรถ จำเลยที่ 1 ได้เอามือมาโอบไหล่และจับหน้าอกของผู้เสียหาย จำเลยที่ 3ใช้มือจับอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ส่วนจำเลยที่ 2 ใช้มือขวาจับพวงมาลัยรถและมือซ้ายมาลูบที่ขาผู้เสียหายไปตลอดทาง จนกระทั่งถึงด่านตรวจของเจ้าพนักงานตำรวจตำบลไม้ตรา อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้เสียหายร้องขอความช่วยเหลือและแจ้งเรื่องให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบ เจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมจำเลยทั้งสาม เห็นว่าผู้เสียหายเป็นเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี และเป็นนักเรียนอยู่ได้เบิกความมีรายละเอียดเป็นขั้นตอนประกอบด้วยเหตุผล ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายนึกตัดเสริมเติมแต่งขึ้นมาเพื่อปรักปรำจำเลยที่ 2 ให้ต้องรับโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เสียหายกับจำเลยที่ 2 ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอันจะมาเป็นสาเหตุให้แกล้งเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยที่ 2 ได้ ประกอบกับเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่าอับอาย หากไม่จริงผู้เสียหายคงไม่กล้ากล่าวหาจำเลยที่ 2 เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงอันเป็นผลร้ายแก่ผู้เสียหายเองอีกทั้งพันตำรวจโทมนัส ม่วงอยู่ และสิบตำรวจเอกสุชาติ เรื่องศรีผู้จับกุมได้เบิกความยืนยันว่าเมื่อผู้เสียหายพบพยานทั้งสองได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังและชี้ให้จับกุมจำเลยทั้งสาม จึงเชื่อว่าผู้เสียหายเบิกความไปตามจริง ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ตอนผู้เสียหายถูกล่วงเกินเป็นเวลามืดแล้ว และเป็นการถูกกระทำอนาจารหลังจากผู้เสียหายเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร แสดงให้เห็นว่าขณะที่จำเลยทั้งสามลงมือพรากผู้เสียหายยังไม่มีเหตุจูงใจจะพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 2 พาผู้เสียหายขึ้นรถแล้วจำเลยที่ 2 ได้พูดกับพวกของจำเลยว่าจะนำไปขายซ่อง อีกทั้งหลังจากส่งนายหมัดที่บ้านแล้ว ระหว่างอยู่บนรถ จำเลยที่ 1 ใช้มือจับหน้าอกจำเลยที่ 3 ใช้มือจับอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ส่วนจำเลยที่ 2 ใช้มือขวาจับพวงมาลัยรถและมือซ้ายลูบที่ขาของผู้เสียหายไปตลอดทางพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนากระทำอนาจารผู้เสียหายมาแต่ต้น และเป็นการกระทำต่อเนื่องกันถือได้ว่า ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารสำเร็จนับแต่จำเลยที่ 2 เริ่มพรากผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาดังกล่าวแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า ความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีโดยขู่เข็ญและโดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง และฐานหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ตามมาตรา 310 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ข้อนี้แม้จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นว่าในชั้นอุทธรณ์ แต่ปัญหาเรื่องเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยจำเลยที่ 2 ย่อมยกขึ้นว่าในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 เห็นว่า การที่จำเลยที่ 2 กับพวกฉุดผู้เสียหายขึ้นไปบนรถแล้วระหว่างทางมีการกระทำอนาจารผู้เสียหายในวันเดียวกันนั้น เป็นการกระทำความผิดต่อตัวผู้เสียหายต่อเนื่องกันไปไม่ขาดตอน การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่า ความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยขู่เข็ญและโดยการใช้กำลังประทุษร้ายกับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นความผิดคนละกรรมจึงไม่ถูกต้อง และศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ผู้มิได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุว่า โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 279 และมาตรา 317 วรรคสาม ศาลล่างทั้งสองไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 279วรรคสองและมาตรา 317 วรรคสาม ได้ เนื่องจากเป็นการพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้องนั้นเห็นว่า แม้คำฟ้องของโจทก์จะมิได้ระบุวรรคมาก็ตามแต่คำขอท้ายฟ้องนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) ระบุแต่เพียงให้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดเท่านั้น หาได้บังคับว่าจะต้องระบุว่าวรรคใดด้วยไม่ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ดังนั้น เมื่อศาลพิจารณาได้ความว่า จำเลยกระทำความผิดในวรรคใดก็พิพากษาว่ากระทำความผิดในวรรคนั้นได้ไม่เป็นการเกินคำขอฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 279 วรรคสอง, 310 วรรคแรก, 317 วรรคสาม, 83 ฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยขู่เข็ญและโดยใช้กำลังประทุษร้าย กับฐานหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยขู่เข็ญและโดยใช้กำลังประทุษร้ายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำคุก 2 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร จำคุก 9 ปี รวมจำคุกคนละ 11 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1”

Share