คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4597/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์ที่ 1 ฟ้อง บ. และจำเลยที่ 1 เป็นคดีละเมิด และเรียกค่าเสียหายศาลวินิจฉัยว่า ตึกแถวพิพาทในคดีนี้เป็นของโจทก์ มิได้เป็นส่วนควบกับที่ดินของเจ้าของที่ดินเดิม การที่ บ. ยอมให้ จำเลยที่ 1 เข้าไปอยู่จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ที่ 1 พิพากษา ให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 ส่วนคดีนี้โจทก์ที่ 1 ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนสิทธิการเช่าให้โจทก์ที่ 2 ตามสัญญา อันเป็นคนละประเด็นกันกับคดีก่อน มิได้เป็นกรณีที่ คู่ความรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยไปแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นผู้ก่อสร้างและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในตึกแถวเลขที่ ๑๖๖/๑ ถึง ๑๖๖/๗ รวม ๗ คูหาปลูกอยู่บนที่ดินซึ่ง ม. กับ ส. สามีภริยามีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แล้ว ม. ในฐานะผู้จัดการสินบริคณห์สนธิทำสัญญาให้โจทก์ที่ ๑ ก่อสร้างตึกแถวมีเงื่อนไขว่าให้โจทก์ที่ ๑ มีสิทธิเรียกเก็บค่าก่อสร้างจากบุคคลภายนอกที่มาขอเช่าแล้วยกกรรมสิทธิ์ในตึกแถวนั้นให้เจ้าของที่ดินเมื่อจดทะเบียนการเช่าแล้วโดย ม. ได้เรียกเก็บค่าหน้าดินจากโจทก์ที่ ๑ ไป ๓๕,๐๐๐ บาทกับให้โจทก์ที่ ๑ ปรับปรุงตกแต่งบ้านของ ม. และ ส. เป็นค่าตอบแทนตึกแถวที่โจทก์ที่ ๑ สร้างยังไม่เป็นส่วนควบกับที่ดิน ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ ๑ อยู่จนกว่าจะมีการจดทะเบียนการเช่าและเมื่อโจทก์ที่ ๑ เรียกเก็บค่าก่อสร้างตึกแถวจากผู้ประสงค์จะเช่าแล้ว เจ้าของที่ดินจะต้องไปจดทะเบียนการเช่าให้มีกำหนด ๑๕ ปี ในอัตราค่าเช่าเดือนละ ๘๐ บาท ครั้นก่อสร้างตึกแถวเสร็จได้ขยายระยะเวลาการเช่าออกไปเป็น ๒๕ ปี จำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากันและเป็นลูกค้าของโจทก์ที่ ๑ มาก่อนได้ทราบข้อตกลงและเงื่อนไขในสัญญาก่อสร้างตึกแถวตลอดจนเรื่องระยะเวลาการเช่า ทั้งได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวโดยได้ชำระค่าตึกแถวเลขที่ ๑๖๖/๖, ๑๖๖/๗ ให้โจทก์ที่ ๑ และมีการจดทะเบียนการเช่าตึกแถวเลขที่ดังกล่าวกันแล้ว ต่อมาจำเลยที่ ๑ โดยความรู้เห็นยินยอมของจำเลยที่ ๒ ได้ซื้อที่ดินที่โจทก์ที่ ๑ ปลูกตึกแถวเลขที่ ๑๖๖/๕ จากเจ้าของที่ดินเดิม และแบ่งแยกโฉนดมาเป็นเลขที่ ๑๖๕๐๑ โดยตึกแถวเลขที่ ๑๖๖/๕ นี้โจทก์ที่ ๒ ได้ชำระค่าก่อสร้างให้โจทก์ที่ ๑ เรียบร้อยแล้ว จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนการเช่ามีกำหนดระยะเวลาเช่า ๒๕ ปี ให้แก่โจทก์ที่ ๒ จำเลยทั้งสองกลับเข้าไปครอบครองตึกแถวเลขที่ ๑๖๖/๕ ของโจทก์ที่ ๑ จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนการเช่าตึกแถวเลขที่ ๑๖๖/๕ ในระยะเวลาเช่า ๒๕ ปี อัตราค่าเช่าเดือนละ ๘๐ บาท ให้โจทก์ที่ ๒ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การว่า ส. มิได้รู้เห็นยินยอมในการที่ ม. ทำสัญญาก่อสร้างตึกตามฟ้องกับโจทก์ที่ ๑ ในการขยายระยะเวลาการเช่าตามสัญญาออกไปเป็น ๒๕ ปีนั้น โจทก์ที่ ๑ ยอมยกตึกแถวที่สร้าง ๑ คูหาให้ ม. เป็นการตอบแทน ซึ่ง ม.และ บ. ก็เลือกเอาตึกแถวเลขที่ ๑๖๖/๕ เมื่อ ม. ถึงแก่ความตายแล้ว บ. จึงขายที่ดินพร้อมตึกแถวดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๑๕ มีการจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน จำเลยจึงมีกรรมสิทธิ์ในตึกนี้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง สัญญาก่อสร้างตึกแถวผูกพันเฉพาะ ม. กับโจทก์ที่ ๑ เท่านั้นทั้งโจทก์ที่ ๒ ก็มิได้เป็นผู้เช่าหรือชำระค่าก่อสร้างตึกแถวตามฟ้องแต่อย่างใดแต่โจทก์ที่ ๒ เข้ามาเป็นเครื่องมือให้มีการฟ้องร้องคดีเท่านั้น เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต จำเลยทั้งสองไม่มีหน้าที่ไปจดทะเบียนการเช่าให้ ขอให้ยกฟ้อง
ประเด็นข้อพิพาทมีว่า
๑. โจทก์ที่ ๑ ไม่มีสิทธิให้เช่าตึกพิพาทจริงหรือไม่
๒. สัญญาก่อสร้างตึกพิพาทไม่ผูกพันจำเลยทั้งสองจริงหรือไม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์ที่ ๑ ไม่มีสิทธิให้เช่าตึกแถวเลขที่ ๑๖๖/๕ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในประเด็นเรื่องฟ้องซ้ำ ได้ความว่าตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๙-๒๘๐/๒๕๑๙ โจทก์ที่ ๑ ฟ้อง บ. และจำเลยที่ ๑ เป็นคดีละเมิดและเรียกค่าเสียหาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตึกแถวพิพาทในคดีนี้เลขที่ ๑๖๖/๕ เป็นของโจทก์มิได้เป็นส่วนควบกับที่ดินของเจ้าของที่ดินเดิม การที่ บ. ยอมให้จำเลยที่ ๑ เข้าไปอยู่จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ที่ ๑ จึงพิพากษาให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ ๑ ส่วนคดีนี้โจทก์ที่ ๑ ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนสิทธิการเช่าให้โจทก์ที่ ๒ ตามสัญญาก่อสร้างตึกแถวเอกสารหมาย จ.๔ อันเป็นคนละประเด็นกันกับคดีก่อน มิได้เป็นกรณีที่คู่ความรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยไปแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นข้อ ๑ และข้อ ๒ ดังกล่าวเสียก่อนแล้วพิพากษาใหม่

Share