คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความชำรุดบกพร่องในทรัพย์สินซึ่งขาย อันผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 นั้น จะต้องเป็นความชำรุดบกพร่องที่มีอยู่ก่อนแล้ว หรือมีอยู่ในขณะทำสัญญาซื้อขายหรือในเวลาส่งมอบทรัพย์สินที่ขาย ส่วนความชำรุดบกพร่องที่มีขึ้นภายหลังผู้ขายหาต้องรับผิดไม่
เครื่องปรับอากาศที่โจทก์ติดตั้งที่ภัตตาคารของจำเลยให้ความเย็นเรียบร้อยดีนับแต่เวลาติดตั้งตลอดมาไม่น้อยกว่า 3-4 เดือน แสดงให้เห็นว่าเครื่องปรับอากาศดังกล่าวมิได้มีความชำรุดบกพร่องอยู่ก่อน หรือในขณะทำสัญญาซื้อขาย หรือในเวลาส่งมอบเลย ฉะนั้นที่เครื่องปรับอากาศให้ความเย็นไม่พอในเวลาต่อมา จึงเป็นความชำรุดบกพร่องที่มีขึ้นภายหลังจากที่จำเลยได้รับมอบและใช้ประโยชน์มาไม่น้อยกว่า 3-4 เดือน โจทก์หาต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนี้ไม่ และด้วยเหตุนี้จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงราคาที่ยังไม่ได้ชำระตามมาตรา 488 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อเครื่องปรับอากาศไปจากโจทก์ โดยจำเลยตกลงจะผ่อนชำระราคาให้โจทก์เป็นรายงวด ๆ ละ 1 เดือน มีกำหนด10 งวด โจทก์ได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศให้จำเลยเรียบร้อยแล้ว และจำเลยได้ผ่อนชำระราคาให้โจทก์เพียง งวดแรกกับงวดที่สองเท่านั้นสำหรับงวดที่สามถึงงวดที่สิบเป็นเงิน 91,000 บาท โจทก์ได้ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าเครื่องปรับอากาศที่ค้างพร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า สัญญาซื้อขายตามฟ้องไม่ใช่สัญญาซื้อขายเครื่องปรับอากาศ ระหว่างโจทก์จำเลย แต่เป็นการซื้อขายระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดมิรามาภัตตาคาร ซึ่งจำเลยเป็นเพียงหุ้นส่วนผู้จัดการ การทำสัญญามิใช่ในฐานะส่วนตัวของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด เครื่องปรับอากาศที่โจทก์ขายและติดตั้งมีความชำรุดบกพร่องไม่มีคุณภาพและประสิทธิภาพตามสัญญา จำเลยในฐานะผู้จัดการได้แจ้งให้โจทก์แก้ไข โจทก์ก็เพิกเฉย หากศาลฟังว่าจำเลยเป็นผู้ซื้อเครื่องปรับอากาศรายนี้ จำเลยย่อมมีสิทธิยึดหน่วงราคาที่ยังค้างขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้หมายเรียกห้างหุ้นส่วนจำกัดภัตตาคารบางกอกมิรามาร์เข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำร้องของโจทก์

ห้างหุ้นส่วนจำกัดภัตตาคารบางกอกมิรามาร์จำเลยร่วมให้การว่าเครื่องปรับอากาศที่โจทก์ติดตั้งให้จำเลยร่วมไม่มีคุณลักษณะและประสิทธิภาพใช้งานได้ตามสัญญา ผู้จัดการของจำเลยได้บอกให้โจทก์แก้ไข โจทก์ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ในที่สุดจำเลยร่วมต้องรื้อออกและซื้อเครื่องปรับอากาศมาติดตั้งใหม่ กับได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้วโจทก์ตกลงยินยอมให้เลิกสัญญา ไม่ติดใจเรียกร้องราคา จำเลยร่วมมิได้ผิดสัญญาและมิได้ผิดนัดต่อโจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินค่าเครื่องปรับอากาศที่ค้างพร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยและจำเลยร่วมฎีกาว่า เครื่องปรับอากาศที่โจทก์ติดตั้งที่ภัตตาคารของจำเลยชำรุดบกพร่อง ทำความเย็นได้ไม่พอ จำเลยจึงมีสิทธิยึดหน่วงราคาไว้ได้ตามกฎหมาย

ศาลฎีกาเห็นว่า ความชำรุดบกพร่องในทรัพย์สินซึ่งขาย อันผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 นั้น จะต้องเป็นความชำรุดบกพร่องที่มีอยู่ก่อนแล้ว หรือมีอยู่ในขณะทำสัญญาซื้อขายหรือในเวลาส่งมอบทรัพย์สินที่ขาย ส่วนความชำรุดบกพร่องที่มีขึ้นภายหลัง ผู้ขายหาต้องรับผิดไม่แล้ว ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่ภัตตาคารของจำเลยแล้วเครื่องปรับอากาศให้ความเย็นเรียบร้อยดีนับแต่เวลาติดตั้งตลอดมาไม่น้อยกว่า 3-4 เดือน ซึ่งแสดงว่าเครื่องปรับอากาศรายนี้มิได้มีความชำรุดบกพร่องอยู่ก่อน หรือในขณะทำสัญญาซื้อขาย หรือในเวลาส่งมอบ ฉะนั้น ที่เครื่องปรับอากาศให้ความเย็นไม่พอในเวลาต่อมา หากจะถือว่าเป็นเพราะความชำรุดบกพร่อง ก็ต้องเป็นความชำรุดบกพร่องที่มีขึ้นภายหลังจากที่จำเลยได้รับมอบและใช้ประโยชน์มาไม่น้อยกว่า 3-4 เดือน โจทก์จึงหาต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องดังกล่าวนี้ไม่ และด้วยเหตุนี้จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงราคาที่ยังไม่ได้ชำระ

พิพากษายืน

Share