แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ตามคำฟ้องของโจทก์จะเป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของบริษัทจำเลยร่วมซึ่งเป็นลูกหนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 233 แต่ปัญหาว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามที่ฟ้องหรือไม่ มิได้พิจารณาแต่เพียงว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ของบริษัทจำเลยร่วมซึ่งเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องที่ตนมีอยู่หรือไม่เท่านั้น แต่ยังมีประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณาว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ของบริษัทจำเลยร่วมหรือไม่ เพียงใด นอกจากนี้ศาลยังต้องพิจารณาให้ได้ความว่า บริษัทจำเลยร่วมขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยจนเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียประโยชน์หรือไม่อีกด้วย จำเลยให้การว่าจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ในบริษัทจำเลยร่วม และไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยร่วมโดยอ้างเหตุแห่งการปฏิเสธ คำให้การของจำเลยจึงเป็นการปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งรวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 749,850 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินจำนวนดังกล่าวนับถึงวันฟ้องเป็นเงิน 18,027.22 บาท และนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทรวมทรัพย์ รีไซเคิล จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 749,850 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันผิดนัด (วันที่ 26 ธันวาคม 2556) จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องมิให้คำนวณเกิน 18,027.22 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นโดยคู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า บริษัทรวมทรัพย์ รีไซเคิล จำกัด จำเลยร่วมมีทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญทั้งสิ้น 1,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท มีผู้ถือหุ้นสามัญ 3 คน ซึ่งชำระค่าหุ้นไว้เพียงหุ้นละ 25 บาท ต่อมามีการจดทะเบียนเลิกบริษัท และผู้ชำระบัญชีได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2555 หลังจากนั้นโจทก์ตรวจสอบพบว่าบริษัทจำเลยร่วมชำระภาษีไว้ไม่ถูกต้องจึงออกหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มไปยังผู้ชำระบัญชีรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,505,377 บาท และไม่มีการอุทธรณ์การประเมินภาษีดังกล่าว โจทก์ไม่สามารถบังคับชำระหนี้ภาษีอากรค้างดังกล่าวได้ และตรวจสอบแล้วเชื่อว่า จำเลยเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยร่วมจำนวน 9,998 หุ้น และยังค้างชำระมูลค่าหุ้นอยู่ก่อนจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเป็นเงิน 749,850 บาท โจทก์จึงใช้สิทธิของเจ้าหนี้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระมูลค่าหุ้นดังกล่าวแต่จำเลยไม่ชำระ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่รับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยร่วมและยังค้างชำระมูลค่าหุ้นจำนวน 749,850 บาท โดยวินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งพร้อมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธในประเด็นตามคำฟ้องของโจทก์ จึงต้องถือว่าจำเลยยอมรับตามคำฟ้องโจทก์แล้วว่าจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยร่วมซึ่งยังส่งใช้เงินค่าหุ้นไม่เต็มมูลค่าหุ้น นั้น เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบ เห็นว่า แม้ตามคำฟ้องของโจทก์จะเป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 แต่ปัญหาว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามที่ฟ้องหรือไม่ มิได้พิจารณาแต่เพียงว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ของบริษัทจำเลยร่วมซึ่งเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องที่ตนมีอยู่หรือไม่เท่านั้น แต่ยังมีประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณาว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ของบริษัทจำเลยร่วมหรือไม่ เพียงใด นอกจากนี้ศาลยังต้องพิจารณาให้ได้ความว่า บริษัทจำเลยร่วมขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยจนเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียประโยชน์หรือไม่อีกด้วย ตามคำให้การจำเลยแม้จะไม่ได้ต่อสู้ว่าบริษัทจำเลยร่วมเป็นลูกหนี้ค่าภาษีอากรต่อโจทก์จริงหรือไม่ อันมีผลเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงว่าบริษัทจำเลยร่วมค้างชำระหนี้ภาษีอากรต่อโจทก์จริงตามคำฟ้อง แต่จำเลยยังคงต่อสู้ว่าจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ในบริษัทจำเลยร่วม และไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยร่วมโดยอ้างเหตุแห่งการปฏิเสธว่า มีผู้นำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยไปใช้โดยมิชอบ และลงลายมือชื่อปลอมของจำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจำเลยร่วม ตลอดจนจดทะเบียนเลิกบริษัทและจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีคำให้การของจำเลยจึงเป็นการปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งรวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง แล้ว หาใช่จำเลยยอมรับว่าจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยร่วมและค้างชำระมูลค่าหุ้นอยู่ตามที่โจทก์ฟ้องดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยไม่ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ