แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาตั้งโจทก์เป็นตัวแทนรับซื้อแร่ มีข้อตกลงให้โจทก์ชำระค่าตอบแทนให้จำเลยตามจำนวนแร่ที่รับซื้อภายในเวลาที่กำหนดไว้หากผิดนัดโจทก์ยินยอมให้จำเลยปรับได้ครั้งละไม่เกิน 100,000 บาทโดยจำเลยมีสิทธิหักค่าปรับจากเงินประกันที่โจทก์วางไว้ได้ทันทีโดยไม่ต้องเรียกร้องก่อน ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงว่าในกรณีที่โจทก์ผิดนัดจำเลยมีสิทธิหักเงินค่าปรับได้ทันทีเท่านั้น มิได้เป็นข้อตกลงยกเว้นข้อบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 381 วรรคท้าย ที่ไม่ต้องสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับในกรณีผิดนัดไว้ในขณะรับชำระหนี้ เมื่อจำเลยไม่ได้สงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับไว้จำเลยจึงไม่มีสิทธิหักเงินค่าปรับจากเงินประกันของโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาแต่งตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนรวบรวม(รับซื้อ) แร่ ในเขตประทานบัตรจำเลยแล้วโจทก์ต้องนำไปขายให้กับบุคคลที่จำเลยกำหนดและจ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนแร่ที่รวบรวมได้ในอัตราที่กำหนดในสัญญาแต่ละฉบับให้จำเลยภายใน 3 วัน นับถัดจากวันขายแร่ หากโจทก์จ่ายให้ไม่ตรงเวลาที่กำหนดไว้ ยอมให้จำเลยปรับตามจำนวนที่จำเลยกำหนด แต่ต้องไม่เกินครั้งละ 100,000 บาทต่อการปฏิบัติผิดสัญญาครั้งหนึ่ง ๆ โดยจำเลยมีสิทธิหักเงินค่าปรับจากเงินประกันที่โจทก์ให้จำเลยยึดถือไว้จำนวน 7,000,000 บาทได้ทันทีโดยมิต้องเรียกร้องก่อน สัญญาแต่ละฉบับขาดตอนจากกันเมื่อทำสัญญากันแล้วโจทก์ชำระค่าตอบแทนไม่ตรงเวลา 24 ครั้งจำเลยยอมรับค่าตอบแทนทุกครั้งไม่ได้เรียกเบี้ยปรับ และไม่ได้บอกสงวนสิทธิจะเรียกเบี้ยปรับ ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาแต่งตั้งโจทก์เป็นตัวแทน จำเลยแจ้งว่าโจทก์ชำระค่าตอบแทนล่าช้ารวม24 ครั้ง เรียกค่าปรับครั้งละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,400,000 บาทโจทก์ทักท้วง วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2530 จำเลยได้หักเงินจำนวนดังกล่าวจากเงินประกัน ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน 2,400,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมีสิทธิเรียกเงินค่าปรับจำนวน2,400,000 บาท จากโจทก์ได้ โดยไม่ต้องบอกสงวนสิทธิไว้ในเวลารับชำระหนี้ แต่เป็นการใช้สิทธิริบเงินตามสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,400,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากโจทก์ได้เนื่องจากโจทก์วางเงินไว้กับจำเลยเพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญา เมื่อโจทก์ผิดนัดชำระหนี้แต่ละครั้งจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ที่ต้องบอกกล่าวสงวนสิทธิการเรียกเบี้ยปรับอีกเพราะจำเลยปรับได้ทันทีไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 381 วรรคท้าย เห็นว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อความว่าจำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันที เว้นแต่จำเลยเห็นว่าตัวแทนรวบรวม(รับซื้อ) แร่ ได้กระทำหรืองดเว้นการกระทำโดยไม่จงใจ ตัวแทนยินยอมให้จำเลยปรับตามจำนวนที่จำเลยกำหนด แต่ต้องไม่เกินครั้งละ100,000 บาท ต่อการปฏิบัติผิดสัญญาข้อหนึ่ง ๆ โดยจำเลยมีสิทธิหักเงินค่าปรับจากหลักประกันได้ทันที โดยไม่ต้องเรียกร้องให้ตัวแทนชำระก่อน ตามข้อสัญญาดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดบ่งบอกว่ายกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคท้ายที่ว่า ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้แล้ว จะเรียกเอาเบี้ยปรับได้ต่อเมื่อได้บอกสงวนสิทธิไว้เช่นนั้นในเวลารับชำระหนี้ ข้อความในสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีเพียงว่าจำเลยมีสิทธิหักเงินค่าปรับได้ทันทีเท่านั้น ดังนั้นเรื่องอื่น ๆ จำเลยจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายคือสงวนสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับไว้ เมื่อจำเลยไม่ได้สงวนสิทธิไว้จำเลยก็ปรับไม่ได้ทั้งค่าปรับตามสัญญาก็ไม่ได้ระบุไว้ตายตัวว่าครั้งละ 100,000 บาท แต่ระบุว่าครั้งละไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งเป็นการเน้นให้เห็นชัดยิ่งขึ้นว่า จำเลยจะต้องสงวนสิทธิไว้เพราะตามสัญญายังไม่แน่นอนว่าค่าปรับเป็นเงินเท่าใด ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน