คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4577/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การใดที่เป็นเหตุให้ที่ดินซึ่งอยู่ในเงื่อนไขห้ามโอนให้แก่ผู้อื่นภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497มาตรา 31 วรรคหนึ่ง จะต้องโอนไปและการนั้นมิได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ในมาตรา 31 วรรคสอง ย่อมไม่อาจโอนที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยการนั้นได้ในทุกกรณี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 4222 ถึง 4227 ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เมื่อประมาณต้นปี 2528จำเลยทั้งหกได้ตกลงจะซื้อที่ดินทั้งหกแปลงดังกล่าวจากโจทก์ ในราคา 300,000 บาท โดยตกลงจะชำระเงินให้ครบถ้วนภายในวันที่ 31 กันยายน 2528 โจทก์ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินทั้งหกแปลงให้แก่จำเลยทั้งหกแล้ว ต่อมาจำเลยทั้งหกได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์รวมหกแปลงดังกล่าว และได้ชำระค่าที่ดินให้โจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 170,000 บาท คงค้างชำระ 130,000 บาทซึ่งจำเลยทั้งหกผิดนัดตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2528 เป็นต้นมาโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยทั้งหกชำระค่าที่ดินที่ค้างชำระจำเลยทั้งหกเพิกเฉย ต่อมาได้ออกจากที่ดินทั้งหกแปลงไปโจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายให้จำเลยทั้งหกส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ แต่จำเลยทั้งหกเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งหกส่งมอบที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4222 ถึง 4227 และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหกแปลงให้โจทก์ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งหก หากจำเลยทั้งหกไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งหก
จำเลยทั้งหกขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ขอถอนฎีกาสำหรับจำเลยที่ 6 ศาลฎีกาอนุญาต ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 6ออกจากสารบบความของศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งจำเลยทั้งหกมีชื่อเป็นเจ้าของและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขการห้ามมิให้โอนภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 31 โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยทั้งหกโอนไม่ได้ โจทก์ฎีกาว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ผิดสัญญา และโจทก์บอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้ว โจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จึงกลับสู่ฐานะเดิม และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาเป็นชื่อโจทก์เพื่อโจทก์ได้กลับสู่ฐานะเดิม กรณีจึงมิใช่การโอนโดยนิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 อันต้องห้ามมิให้โอนภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 31เพราะการห้ามโอนตามกฎหมายดังกล่าวมุ่งประสงค์ห้ามเฉพาะการโอนโดยทางนิติกรรมเท่านั้น โจทก์จึงฟ้องบังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นคดีนี้ได้ เห็นว่า ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497มาตรา 31 วรรคหนึ่ง ไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุว่าห้ามมิให้ผู้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินดังกล่าวโอนที่ดินนั้นให้แก่ผู้อื่นภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะการโอนโดยทางนิติกรรม แต่ในทางตรงกันข้ามกลับมีบัญญัติไว้ในมาตรา 31 วรรคสองว่า ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ที่ดินนั้นตกทอดทางมรดก ซึ่งการตกทอดทางมรดกก็มิใช่นิติกรรมจึงเป็นการเน้นให้เห็นเจตนารมณ์ของบทบัญญัติดังกล่าวว่าแม้การที่ที่ดินซึ่งอยู่ในเงื่อนไขห้ามโอนนี้ต้องเปลี่ยนมือไปเพราะตกทอดทางมรดกซึ่งเป็นไปโดยผลของกฎหมายมรดกก็ยังต้องบัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ ดังนั้นการใดที่เป็นเหตุให้ที่ดินซึ่งอยู่ในเงื่อนไขห้ามโอนจะต้องโอนไปและการนั้นมิได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ในมาตรา 31 วรรคสอง ย่อมไม่อาจโอนที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยการนั้นได้ในทุกกรณี ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเป็นได้ว่าความมุ่งหมายของประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 31 วรรคหนึ่งมิได้เป็นไปตามที่โจทก์ฎีกา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share