แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 ขึ้นไปบนบ้านของผู้เสียหายพร้อมกับคนร้ายโดยยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ที่ชาน บ้านในลักษณะคุมเชิงส่วนคนร้ายเข้าไปคว้าปืนลูกซองยาวของผู้เสียหายที่แขวนไว้ข้างฝาและเกิดแย่งปืนกันกับภริยาของผู้เสียหายคนร้ายจึงได้ใช้เท้าแตะและชักมีดออกมาขู่ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 และคนร้ายวิ่งหลบหนีไปพร้อมกัน พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับคนร้ายทำการปล้นทรัพย์ คำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานแตก ต่างจากคำเบิกความชั้นศาลในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญที่บ่งชี้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับคนร้ายปล้นทรัพย์หรือไม่ เมื่อปรากฏว่าคำให้การชั้นสอบสวนเจือสมกับพยานโจทก์ปากอื่นที่ว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 อยู่นอกบ้านและวิ่งตามหลังภริยาของผู้เสียหายออกมาหลังจากคนร้ายวิ่งหลบหนีไปแล้ว ดังนั้น จะฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมปล้นทรัพย์ด้วยไม่ได้ แม้โจทก์จะมีคำขอให้ศาลสั่งริบมีดของกลาง แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม่ได้ของกลางจากจำเลย จึงไม่มีของกลางที่จะริบต้องยกคำขอ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกที่หลบหนีร่วมกันมีและใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธปล้นทรัพย์เอาอาวุธปืนลูกซองยาวของผู้เสียหายไป จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคนเดียวกับจำเลยที่ 1และที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4280/2526 ของศาลชั้นต้นขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 340 ริบมีดของกลางให้ร่วมกันคืนอาวุธปืนลูกซองยาวหรือชดใช้ราคาแก่ผู้เสียหายและให้นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4280/2526 ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นคนเดียวกันกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีที่โจทก์ขอนับโทษต่อ
จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามฟ้อง จำคุกคนละ 15 ปี จำเลยที่ 3 รับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ ภ มีกำหนด 7 ปี 6 เดือน ริบมีดของกลาง ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาอาวุธปืนลูกซองยาวแก่ผู้เสียหาย และให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4280/2526ขงอศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ เฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันนางสุภาวดีและนาวสาวสมสวยต่างก็รู้จักจำเลยที่ 1 และที่ 2 มาก่อนนางสุภาวดีเบิกความยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขึ้นบันไดไปที่ชานหน้าบ้านและยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเข้าใจว่ามีอาวุธเมื่อนายแดงขู่จะทำร้ายและแย่งเอาอาวุธปืนจากนางสุภาวดีได้จำเลยที่ 1 ก็วิ่งหลบหนีเข้าซอยอนามัย 2 ไปพร้อมกับนายแดงและได้ความจากคำให้การของนางสาวสมสวยชั้นสอบสวนว่าขณะเกิดเหตุเห็นจำเลยที่ 1 ยืนอยู่ที่บันไดหน้าบ้าน และวิ่งหลบหนีออกจากบ้านไปพร้อมกับนายแดงเช่นกัน แม้คำให้การชั้นสอบสวนจะเป็นพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย แต่รับฟังประกอบคำเบิกความของนางสุภาวดีได้ ทั้งนางสุภาวดีก็ให้การชั้นสอบสวนในวันเกิดเหตุนั้นเองระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายร่วมกับนายแดง และในวันเกิดเหตุพนักงานสอบสวนท่าแผนที่สังเขปแสดงที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1ก็ระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ต้องหา แสดงว่านางสุภาวดีได้แจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายคนหนึ่ง ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 ขึ้นบันไดไปยื่นเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ที่ชานบ้านในลักษณะคุมเชิงขณะที่นายแดงขู่และแย่งเอาอาวุธปืนจากนางสุภาวดีแล้วได้วิ่งหลบหนีไปด้วยกัน พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการร่วมกันกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงหนีความผิดตามฟ้องพยานฐานที่อยู่ของจำเลยที่ 1 ไม่พอที่จะรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น นางสุภาวดีเบิกความแตกต่างกับที่ให้การไว้ในชั้นสอบสวน โดยชั้นสอบสวนนางสุภาวดีให้การว่าเมื่อนางสุภาวดีและนางสาวสมสวยวิ่งตามจำเลยที่ 1 กับนายแดงออกไปจนกระทั่งจำเลยที่ 1 กันนายแดงวิ่งหลบหนีเข้าซอยอนามัย 2 ไปแล้ว นางสุภาวดีจึงเห็นจำเลยที่ 2 วิ่งตามหลังนางสุภาวดีออกมา และคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวได้ให้การในวันเกิดเหตุนั้นเอง จึงน่าเชื่อว่านางสุภาวดีให้การไปตามความเป็นจริง และคำให้การดังกล่าวยังเจือสมกับคำเบิกความของนายวิชัยที่ว่าเห็นจำเลยที่ 2 ตามออกไปภายหลังพยานหลักฐานโจทก์ไม่มั่นคงพอที่จะฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน แต่ศาลล่างทั้งสองสั่งริบมีดของกลางนั้น ปรากฏจากคำพันตำรวจตรีพีระ วิชากรกุล พนักงานสอบสวน ประกอบกับบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.5 ว่าไม่ได้ของกลางจากจำเลยจึงไม่มีของกลางที่จะริบ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 และยกคำขอที่ขอให้ริบของกลาง บังคับคดีจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”.