คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 455/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อผู้ตายยกอาวุธปืนเล็งมายังจำเลย จำเลยได้เข้าแย่งอาวุธปืนจากผู้ตายทำให้มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ผู้ตายจึงได้หักลำกล้องปืนและบรรจุกระสุนขึ้นใหม่ จำเลยได้เข้าแย่งอาวุธปืนอีกเป็นเหตุให้ปืนลั่นอีก 1 นัด และอาวุธปืนได้หลุดจากมือผู้ตายถือว่าภยันตรายที่จำเลยต้องป้องกันได้ผ่านพ้นไป ไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงอันจะต้องป้องกันอีก การที่จำเลยใช้มีดโต้ฟันผู้ตายในขณะนั้น จึงไม่อาจเป็นการกระทำโดยป้องกันได้ แต่การกระทำของผู้ตายถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยฟันผู้ตายจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยมีเจตนาฆ่าได้ใช้มีดโต้เป็นอาวุธฟันนายสอน ชัยวุฒิ ผู้ตายซึ่งเป็นบุพการีหลายครั้งถูกบริเวณลำคอด้านขวา แก้มซ้าย หน้าผาก ด้านขวาลึกถึงกะโหลกศีรษะ ใบหูซ้ายและหลังอันเป็นอวัยวะสำคัญ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายทันทีและจำเลยมีลูกกระสุนปืนขนาดเบอร์ 12 จำนวน 2 ลูก อันเป็นเครื่องกระสุนปืนตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุยกเว้นโทษ เหตุเกิดที่ตำบลท่าจำปี อำเภอเมืองพะเยาจังหวัดพะเยา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 91พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526มาตรา 4 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21ตุลาคม 2519 ข้อ 6 และริบมีดโต้กับลูกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาฐานฆ่าบุพการี แต่ปฏิเสธข้อหามีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(1) ประกอบมาตรา 72 ลงโทษจำคุก 20 ปี จำเลยให้การรับสารภาพฐานฆ่าบุพการี ในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี ยกฟ้องข้อหามีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ริบมีดโต้ของกลาง คำขอริบกระสุนปืนของกลางให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานฆ่าบุพการี คืนมีดโต้ของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในชั้นนี้ว่า นายสอน ชัยวุฒิ ผู้ตายเป็นบิดาจำเลย วันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยได้ใช้มีดโต้ของกลางเป็นอาวุธฟันทำร้ายผู้ตายหลายครั้งถูกผู้ตายที่บริเวณลำคอด้านขวา แก้มซ้ายหน้าผากด้านขวา ใบหูซ้าย โคนนิ้วชี้และบริเวณหลังถึงแก่ความตายปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.8 ท้ายฟ้องที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบ ขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เห็นว่าจำเลยยื่นคำให้การต่อศาลรับสารภาพในฐานความผิดฆ่าบุพการีโดยเจตนาตามฟ้องจริง ซึ่งเมื่อศาลชั้นต้นสอบคำให้การจำเลยโดยอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังจำเลยก็ยืนยันให้การดังกล่าวปรากฏตามคำให้การจำเลยและรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2534 นอกจากนี้โจทก์ก็ยังมีนายดาบตำรวจวิเชียร นวลเสน่ห์ นายดาบตำรวจอำนวย คมขำ และพันตำรวจโทนคร ขวานเพชร ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองพะเยา มาเบิกความประกอบบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.3 บันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.17 บันทึกการชี้ที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.5 และภาพถ่ายหมาย จ.4 ฟังได้ว่าเมื่อจำเลยกับผู้ตายเดินสวนกันที่ทางเดินในป่าที่เกิดเหตุในวันเกิดเหตุก่อนจะเกิดเหตุนั้น จำเลยสอบถามผู้ตายและผู้ตายพูดตอบจำเลยในขณะอยู่ห่างกันประมาณ 1 ศอก ทันใดนั้นเองผู้ตายได้ล้วงเอาอาวุธปืนลูกซองสั้นออกมาจากเอวและยกขึ้นเล็งมายังจำเลยทันทีจำเลยได้กระโดดเข้าแย่งอาวุธปืนกับผู้ตาย และเสียงปืนได้ดังขึ้น1 นัด ในระหว่างนั้นผู้ตายได้หักลำกล้องปืนและบรรจุกระสุนปืนใหม่จำเลยก็เข้าแย่งเป็นเหตุทำให้ปืนลั่นขึ้นอีก 1 นัด หลังจากนั้นจำเลยจึงได้ใช้มีดโต้ของกลางฟันผู้ตายจนล้มลงและถึงแก่ความตายซึ่งเมื่อจำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพนั้น ตามบันทึกการชี้ที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.5 ประกอบภาพถ่ายหมาย จ.4 ก็เห็นว่าตรงกันกับคำรับสารภาพของจำเลย อาวุธปืนลูกซองสั้นที่จำเลยอ้างว่าผู้ตายใช้ยิงจำเลยนั้น เป็นอาวุธปืนยิงได้ทีละนัดเมื่อยิงแล้วต้องหักลำกล้องเอาปลอกกระสุนปืนออกแล้วเปลี่ยนกระสุนปืนเข้าไปใหม่จำเลยใช้มีดโต้ของกลางฟันผู้ตายภายหลังที่ได้แย่งอาวุธปืนกับผู้ตายตามภาพถ่ายหมาย จ.4 ภาพที่ 1 ถึงที่ 4 และอาวุธปืนได้หลุดจากมือผู้ตายตกลงกับพื้นแล้วตามบันทึกการชี้ที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.5ข้อ 5 และภาพถ่ายหมาย จ.4 ภาพที่ 5 และ 6 อันแสดงว่าในขณะที่จำเลยใช้มีดโต้ของกลางฟันผู้ตายนั้น อาวุธปืนได้หลุดไปจากมือผู้ตายแล้ว ภยันตรายที่จำเลยจำต้องป้องกันได้ผ่านพ้นไป ไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงอันจะต้องป้องกันอีก ชั้นพิจารณาจำเลยก็ยอมรับว่าได้รับสารภาพตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.3 และให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.17 โดยนำชี้ที่เกิดเหตุแสดงท่าประกอบการกระทำผิดตามเอกสารหมาย จ.5 และภาพถ่ายหมาย จ.4 จริง แม้จำเลยจะนำสืบในทำนองบ่ายเบี่ยงว่า ขณะฟันผู้ตายนั้นผู้ตายยังยืนถืออาวุธปืนและลูกกระสุนปืนอยู่จำเลยจึงต้องฟันเพื่อป้องกันให้ต่างไปจากที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวนก็ฟังไม่ขึ้น การที่ผู้ตายมีนิสัยชอบดื่มสุราแล้วชอบพาลหาเรื่องเอากับภริยาและจำเลยซึ่งเป็นบุตรทั้งเคยตีชกต่อยกับจำเลยมาก่อน ก็ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้การกระทำผิดของจำเลยในครั้งนี้เป็นการกระทำโดยป้องกันไปได้ การที่จำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนพร้อมทั้งนำเจ้าพนักงานตำรวจไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและยึดของกลางที่ใช้กระทำผิดคำรับสารภาพของจำเลยดังกล่าวแม้จะเป็นเพียงพยานบอกเล่า แต่เมื่อนำมาประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นพิจารณาและคำเบิกความของพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้บันทึกการจับกุมและสอบสวนพยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยได้การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันแต่อย่างใด แต่การที่ผู้ตายพยายามจะใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายจำเลยก่อนจนจำเลยต้องเข้าแย่งอาวุธปืนกับผู้ตายและฟันผู้ตายนั้น พอถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยฟันผู้ตายจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะและเห็นว่าเหตุที่เกิดขึ้นก็โดยการที่ผู้ตายเป็นผู้ก่อขึ้นก่อนทั้งสิ้น ตามพฤติการณ์แห่งคดีแม้การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดแต่จำเลยได้กระทำไปเพราะเหตุบันดาลโทสะ ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72 ศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นป้องกันโดยชอบและพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยและเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกจำเลยและลดโทษให้แล้วคงจำคุก10 ปี นั้น หนักเกินไป เห็นควรลงโทษให้น้อยลงอีก ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(1) ประกอบมาตรา 72 ให้จำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี ริบมีดโต้ของกลางนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share