คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4532/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ว. จ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างในหน่วยวิคตอรี่ของบริษัท อ. แม้ต่อมา ว. จะถึงแก่ความตาย แต่หน่วยวิคตอรี่ก็ยังคงสามารถดำรงอยู่และบริการลูกค้าของบริษัท อ. ต่อไปได้โดยมิได้ยุบไปในทันทีที่ ว. ถึงแก่ความตาย สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับ ว. จึงหามีสาระสำคัญอยู่ที่ตัว ว. ผู้เป็นนายจ้างไม่ แม้ ว. จะถึงแก่ความตาย สัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวก็ไม่ระงับสิ้นไป
สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับ ว. ระบุว่า “ข้าพเจ้า (นาย ว.) ในฐานะนายจ้างยินดีจ่ายเงินสะสมในบัญชีของข้าพเจ้า บัญชีฝากประจำธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสุรวงศ์ บัญชีเลขที่ 125 – 2 – 10103 – 8 ให้แก่ ส. (โจทก์) ในฐานะลูกจ้างครึ่งหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้ามีความประสงค์ยุบหน่วยวิคตอรี่และหรือเมื่อข้าพเจ้าถึงแก่กรรม ขอมอบให้ ส. (โจทก์) มีสิทธิยุบหน่วยวิคตอรี่ตามที่เห็นสมควร” ดังนั้น สิทธิของโจทก์ที่จะพึงได้รับเงินสะสมจากบัญชีเงินฝากดังกล่าวของ ว. ครึ่งหนึ่งก็ต่อเมื่อมีการยุบหน่วยวิคตอรี่แล้ว เมื่อโจทก์ฟ้องทายาทโดยธรรมของ ว. ให้แบ่งเงินฝากของ ว. ก่อนที่จะมีการยุบหน่วยวิคตอรี่ ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โจทก์จึงยังไม่ถูกโต้แย้งสิทธิที่จะเรียกร้องเงินดังกล่าว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดจ่ายเงินรวม 1,840,925.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งเจ็ดปิดบัญชีเงินฝากประเภทประจำธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสุรวงศ์ เลขที่ 125 – 2 – 10103 – 8 ของนายวิจิตร แจ่มใส แล้วนำยอดฝากก่อนและหลังจากวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2545 มาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนเจตนาของจำเลยทั้งเจ็ดให้โจทก์มีอำนาจปิดบัญชีนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้ทันที ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท ตั้งแต่เดือนกันยายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะยุบหน่วยวิคตอรี่หรือปิดบัญชีเสร็จสิ้นแล้ว ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันจ่ายเงินผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นหลังปิดบัญชีตามข้อ 2 ถึงวันยุบหน่วยวิคตอรี่ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งของผลประโยชน์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นดังกล่าว หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ชำระตามข้อ 3 และ 4 ให้จำเลยทั้งเจ็ดเสียดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของยอดที่ค้างชำระแต่ละยอด นับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ขาดนัด
จำเลยที่ 6 แถลงไม่ประสงค์ยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลแรงงานกลางอนุญาต
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินเดือนค้างจ่ายจำนวน 320,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 66,000 บาท เงินผลประโยชน์ค้างจ่าย 1,039,232.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 415,692.93 บาท รวมเป็นเงินค้างจ่ายพร้อมดอกเบี้ยทั้งสิ้นจำนวน 1,840,925.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งเจ็ดนำเงินในบัญชีเงินฝากประจำธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เลขที่บัญชี 125 – 10103 – 8 สาขาสุรวงศ์ ของนายวิจิตรจำนวนครึ่งหนึ่งของยอดเงินฝากก่อนและหลังวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2545 มาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งเจ็ด กับให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท และเงินผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจำนวนครึ่งหนึ่งจากบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวตั้งแต่เดือนกันยายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะยุบหน่วยวิคตอรี่ (วันที่ 1 พฤศจิกายน 2545) หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ชำระเงินเดือนตั้งแต่เดือนกันยายน 2545 กับเงินผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นก่อนวันยุบหน่วยวิคตอรี่ ก็ขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของยอดเงินที่ค้างชำระแต่ละยอดนับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ด้วย คำขอนอกเหนือจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่า สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับนายวิจิตร ผู้เป็นนายจ้างมีสาระสำคัญอยู่ที่ตัวนายวิจิตรย่อมระงับสิ้นไปด้วยความตายแห่งนายวิจิตรนายจ้างหรือไม่ ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า นายวิจิตรจ้างโจทก์ทำงานในหน่วยวิคตอรี่ บริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด แม้ต่อมานายวิจิตรจะถึงแก่ความตาย แต่หน่วยวิคตอรี่ก็ยังคงสามารถดำรงอยู่และบริการลูกค้าของบริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด ต่อไปได้ หาใช่ว่าหน่วยงานนี้ต้องยุบไปในทันทีที่นายวิจิตรถึงแก่ความตายแต่อย่างใดไม่ สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับนายวิจิตรจึงหามีสาระสำคัญอยู่ที่ตัวนายวิจิตรผู้เป็นนายจ้างไม่ แม้นายวิจิตรจะถึงแก่ความตาย สัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวก็ไม่ระงับสิ้นไปด้วยความตาย คำพิพากษาศาลแรงงานกลางในส่วนนี้ชอบแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ข้อต่อไป ซึ่งศาลฎีกามีคำสั่งให้รับไว้ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งเจ็ดมอบผลประโยชน์เงินสะสมตามสัญญาจ้างงานหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามสัญญาจ้างงานระหว่างโจทก์กับนายวิจิตรระบุว่า “ข้าพเจ้า (นายวิจิตร) ในฐานะนายจ้าง ยินดีจ่ายเงินสะสมในบัญชีของข้าพเจ้า บัญชีฝากประจำธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสุรวงศ์ บัญชีเลขที่ 125 – 2 – 10103 – 8 ให้แก่นางสาวพิศมัย (โจทก์) ในฐานะลูกจ้างครึ่งหนึ่ง (50%) เมื่อข้าพเจ้ามีความประสงค์ยุบหน่วยวิคตอรี่และหรือเมื่อข้าพเจ้าถึงแก่กรรม ขอมอบให้นางสาวพิศมัยมีสิทธิยุบหน่วยวิคตอรี่ตามที่เห็นสมควร” จะเห็นได้ว่า สิทธิของโจทก์ที่จะพึงได้รับเงินสะสมจากบัญชีเงินฝากดังกล่าวของนายวิจิตรครึ่งหนึ่งก็ต่อเมื่อมีการยุบหน่วยวิคตอรี่แล้วนั่นเอง เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามที่โจทก์และฝ่ายจำเลยนำสืบในชั้นไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของศาลแรงงานกลางว่าบริษัทอเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด สั่งให้ยุบหน่วยวิคตอรี่ลงตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 เป็นต้นไป แต่โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยทั้งหมดในฐานะทายาทโดยธรรมของนายวิจิตรแบ่งเงินฝากของนายวิจิตรตามบัญชีเงินฝากท้ายคำฟ้องเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2545 อันเป็นเวลาก่อนที่จะมีการยุบหน่วยวิคตอรี่ ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โจทก์จึงยังไม่ถูกโต้แย้งสิทธิที่จะเรียกร้องเงินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งเจ็ดมอบผลประโยชน์เงินสะสามตามสัญญาจ้างงาน ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจำนวนครึ่งหนึ่งจากบัญชีเงินฝากประจำของนายวิจิตรตามคำฟ้องพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฟังขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง และเนื่องจากคำพิพากษานี้เกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงให้คำพิพากษานี้มีผลระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ที่มิได้อุทธรณ์ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนที่ขอให้จำเลยทั้งเจ็ดปิดบัญชีเงินฝากของนายวิจิตรตามฟ้องแล้วนำมาแบ่งจ่ายให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.

Share