แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยว่า ที่ดินพิพาทคดีนี้กับทรัพย์สินอื่นเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับ ท. ต่อมา ท. ถึงแก่กรรม ขอให้บังคับจำเลยแบ่งสินสมรสครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ ท. แก่กองมรดก ท. ถ้าการแบ่งไม่เป็นที่ตกลงกันให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วน เพื่อนำไปแบ่งระหว่างทายาท กับให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนใส่ชื่อ ท. ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินพิพาทเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลย ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับ ท. เป็นทรัพย์มรดกของ ท. ครึ่งหนึ่ง ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ท. ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลย ซึ่งศาลจำต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับ ท. และเป็นทรัพย์มรดกของ ท. ครึ่งหนึ่งหรือไม่เสียก่อน จึงเป็นการฟ้องในเรื่องเดียวกันเพียงแต่โจทก์มีคำขอบังคับแตกต่างไปจากคำขอในคดีก่อนเท่านั้น ทั้งคำขอบังคับดังกล่าวโจทก์สามารถขอได้ในคดีก่อนอยู่แล้วแต่โจทก์ไม่ขอ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง(1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทุมมาเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 20, 21, 51 และ 174 ตำบลปากคาด อำเภอปากคาด จังหวัดหนองคาย หากไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย และให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ทั้ง 4 ฉบับ ดังกล่าวแก่โจทก์ ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขที่ 254/2538 ของศาลจังหวัดหนองคาย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทุมมา ศรีวรษา เคยฟ้องจำเลยให้แบ่งทรัพย์มรดกของนางทุมมาต่อศาลจังหวัดหนองคาย ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 254/2538 ซึ่งศาลจังหวัดหนองคายพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดก 11 รายการตามคำฟ้องแก่กองมรดกนางทุมมาครึ่งหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ขณะคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว มีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทุมมา ศรีวรษา ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 20, 21, 51 และ 174 ตำบลปากคาด อำเภอปากคาด จังหวัดหนองคายร่วมกับจำเลยตามสัดส่วน ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 254/2538 ของศาลจังหวัดหนองคาย หากไม่มีการจัดการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 254/2538 ของศาลจังหวัดหนองคายหรือไม่ เห็นว่า ตามสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย จ.ล.1 คดีดังกล่าวโจทก์ฟ้องจำเลยอ้างว่า ที่ดิน ที่ดินพิพาทคดีนี้กับทรัพย์สินอื่นรวม 11 รายการ เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางทุมมา ศรีวรษา ต่อมานางทุมมาถึงแก่กรรม ขอให้บังคับจำเลยแบ่งสินสมรสครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนางทุมมาแก่กองมรดกนางทุมมา ถ้าการแบ่งไม่เป็นที่ตกลงกันให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วน เพื่อนำไปแบ่งระหว่างทายาทกับให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนใส่ชื่อนางทุมมาในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของที่ดินพิพาทเป็นผู้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลย คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างเหตุเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางทุมมา เป็นทรัพย์มรดกของนางทุมมาครึ่งหนึ่งโดยขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางทุมมาในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยในการที่จะบังคับให้ตามคำขอของโจทก์นั้น ศาลจำต้องวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนางทุมมาและเป็นทรัพย์มรดกของนางทุมมาครึ่งหนึ่งหรือไม่เสียก่อนกรณีจึงเป็นการฟ้องในเรื่องเดียวกัน เพียงแต่โจทก์มีคำขอบังคับแตกต่างไปจากคำขอในคดีก่อนเท่านั้น ซึ่งคำขอบังคับดังกล่าวโจทก์สามารถขอได้ในคดีก่อนอยู่แล้วแต่โจทก์ไม่ขอกลับมาฟ้องคดีนี้ขณะที่คดีก่อนอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง