คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4517/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกจากที่พิพาท คดีถึงที่สุด และอยู่ระหว่างการออกหมายบังคับคดี ดังนั้น แม้ผู้ร้องสอดจะมีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้ก็ตาม แต่การที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดี แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ทั้งหมดก็จะทำให้คดีล่าช้าไม่เป็นประโยชน์แก่คู่กรณีจึงสมควรให้ผู้ร้องสอดไปฟ้องเป็นคดีใหม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริษัทแก๊สซัพพลายส์ จำกัด บริวารออกจากที่ดินพิพาทเพราะจำเลยไม่ชำระค่าเช่า จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องผิดตัว เพราะคู่กรณีของโจทก์คือบริษัทแก๊สซัพพลายส์ จำกัด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง บริษัทแก๊สซัพพลายส์ จำกัด ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องกับโจทก์ร่วมกันลงทุนในลักษณะของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนเพื่อประกอบกิจการสถานีบริการก๊าซเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์โดยผู้ร้องลงทุนในการก่อสร้างและใบอนุญาต ส่วนโจทก์ลงทุนให้ใช้ที่ดินพิพาท ผู้ร้องมิได้เป็นผู้เช่าและมิใช่บริวารของจำเลย การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยดังกล่าวคำพิพากษาของศาลย่อมจะทำให้ผู้ร้องถูกบังคับขับไล่ ผู้ร้องสอดจึงยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความในคดีนี้

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ากรณีตามคำร้องของผู้ร้องสอดไม่มีเหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) จึงไม่รับคำร้อง

ผู้ร้องสอดอุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

ผู้ร้องสอดฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้ผู้ร้องสอดจะมีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ดังข้ออ้างของผู้ร้องสอดก็ตาม เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกจากที่พิพาท ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน คดีถึงที่สุด และอยู่ระหว่างการออกหมายบังคับคดี ดังนั้นหากศาลฎีกาจะมีคำสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดี แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ทั้งหมดก็จะทำให้คดีดังกล่าวข้างต้นต้องล่าช้าไม่เป็นประโยชน์แก่คู่กรณี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ผู้ร้องสอดไปฟ้องเป็นคดีใหม่ ฎีกาของผู้ร้องสอดฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ร้องสอดที่จะไปฟ้องคดีใหม่

Share