แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยมิได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว จำเลยให้การปฏิเสธโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนของกลางมาเป็นพยานหลักฐานและไม่ได้นำพยานมาสืบว่าจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ให้มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองตามกฎหมายและไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว คงมีเพียงพนักงานสอบสวนเบิกความว่าจำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเท่านั้น พยานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 340 ตรี, 371 ประกอบมาตรา 49, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514ข้อ 14, 15
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสอง, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสอง ข้อหาชิงทรัพย์ลงโทษจำคุก 18 ปี ข้อหามีอาวุธปืนฯ ลงโทษจำคุก 2 ปีข้อหาพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 1 ปี รวมลงโทษจำเลยจำคุก 21 ปี จำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 14 ปี นำโทษจำคุกของศาลชั้นต้นและศาลแขวงพระนครเหนือมาบวกเข้ากับโทษคดีนี้รวมจำคุกจำเลย 15 ปี 15 วัน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอและกำไลข้อมือทองคำราคา 5,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 คืนหรือใช้ราคาสร้อยข้อมือทองคำราคา 5,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2 คืนหรือใช้ราคาสร้อยข้อมือทองคำ ราคา 2,500 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 3คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี, 371 ข้อหาชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนและใช้ยานพาหนะ ลงโทษจำคุก 18 ปี ข้อหาพาอาวุธลงโทษปรับ 90 บาท คำรับในชั้นจับกุมและคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 12 ปี ปรับ 60 บาท นำโทษของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 8491/2531 ของศาลชั้นต้น และคดีหมายเลขแดงที่ 8067/2532 ของศาลแขวงพระนครเหนือมาบวกเข้ากับโทษคดีนี้รวมจำคุก 13 ปี 15 วัน ปรับ 60 บาท ข้อหาตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ให้ยก ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาข้อเดียวว่า จำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7ด้วยหรือไม่ ข้อนี้โจทก์นำสืบโดยอ้างร้อยตำรวจโททัศนัยพรั่งพิบูลย์ พนักงานสอบสวนเป็นพยานปากเดียวว่า ได้แจ้งข้อหาจำเลยฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและพกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพปรากฏตามเอกสารหมาย จ.21 ซึ่งชั้นศาลจำเลยให้การปฏิเสธและนำสืบว่าจำเลยให้การรับสารภาพข้อหารับของโจร เห็นว่าในคดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องคดีนี้โจทก์ไม่ได้อาวุธปืนของกลางมาเป็นพยานหลักฐาน และไม่ได้นำพยานมาสืบว่าจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ให้มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองตามกฎหมายและไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว โจทก์คงมีพนักงานสอบสวนมาเบิกความว่าจำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเท่านั้น พยานโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยสำหรับข้อหาดังกล่าวได้
พิพากษายืน