คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่าหากผู้เช่าซื้อผิดสัญญา เงินที่ชำระแล้วทั้งหมดจะถูกริบและต้องส่งคืนทรัพย์ที่เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อย หากไม่ส่งคืนจนต้องดำเนินการยืดทรัพย์ออกขาย เงินขาดอยู่เท่าใด ผู้เช่าซื้อต้องชำระจนครบ ข้อสัญญานี้เป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ หากสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ดังนั้นจึงต้องสืบพยานโจทก์จำเลยฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าเสียหายก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์เก๋งของโจทก์ไป ๑ คันเป็นเงิน ๔๐๓,๕๒๐ บาท โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ ชำระแล้วในวันทำสัญญา ๔๖,๐๐๐ บาท และจะชำระอีก ๔๘ งวด งวดละเดือนแต่ผิดนัดไม่ชำระตั้งแต่งวดที่ ๙ ซึ่งจะต้องชำระเป็นเงิน ๗,๔๔๙ บาท แต่ชำระเพียง ๕,๕๐๔ บาท แล้วไม่ชำระอีก ๒ งวดติดกัน จึงถือว่าสัญญาเลิกกันตามข้อ ๘ เงินที่จำเลยที่ ๑ ชำระแล้วทั้งหมดถูกริบเป็นของโจทก์ และต้องส่งมอบรถคืนในสภาพเรียบร้อย แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ส่งคืน โจทก์ติดตามเอาคืนได้ในภายหลังปรากฏว่ารถเสียหายมาก โจทก์ขายได้ ๑๖๘,๐๐๐ บาท ราคารถยังขาดอยู่อีก ๑๒๔,๔๒๔ บาท ซึ่งจำเลยที่ ๑ ต้องชำระตามสัญญาข้อ ๙ และจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดชอบร่วมด้วยตามสัญญาค้ำประกัน โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ชำระขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคาที่ขาด ๑๒๔,๔๒๔ บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ ๑ ชำระเงินให้โจทก์แล้ว ๑๑๖,๐๙๖ บาท ยังขาดอยู่เพียง ๒๘๗,๔๒๔ บาทรถยนต์ที่เช่าซื้ออยู่ในสภาพเรียบร้อย หากขายจะได้ราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาทจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อและถือว่าสัญญาเลิกกัน เมื่อโจทก์ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาได้แล้วขายไป จะเรียกราคาที่ยังขาดไม่ได้ เป็นการเรียกเอาราคารถสองต่อและถือไม่ได้ว่าเป็นการเรียกค่าเสียหาย จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๙ ซึ่งจำเลยสมัครใจทำสัญญาดังกล่าวเอง และข้อสัญญาดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน เนื่องจากเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ เมื่อผู้เช่าซื้อผิดสัญญาไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อ คงครอบครองใช้อยู่โดยไม่ชอบ จนผู้ให้เช่าซื้อต้องดำเนินการยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมา อันเป็นการทำให้ผู้ให้เช่าซื้อเสียหาย ซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า โจทก์ได้ติดตามยึดรถคืน ปรากฏว่ารถอยู่ในสภาพเสียหายมากเนื่องจากการใช้โดยปราศจากความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชนของจำเลยที่ ๑ เบี้ยปรับที่กำหนดตามสัญญานี้หากสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ จึงต้องสืบพยานโจทก์จำเลยฟังข้อเท็จจริงต่อไปก่อน ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share