แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะได้ให้การต่อสู้ไว้ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและโจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องแต่ในชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้หยิบยกปัญหาข้อนี้เป็นข้ออุทธรณ์จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
การที่มีผู้คนเอาเงินมาช่วยทำศพผู้ตายมากน้อยเพียงไรจะเอามาช่วยบรรเทาความรับผิดของจำเลย หาได้ไม่
แม้ผู้ตายจะกำลังศึกษาเล่าเรียน แต่ปรากฏว่าผู้ตายเป็นนักเรียนช่างกลปีที่ 3 แล้วซึ่งเป็นปีสุดท้ายก็อาจเรียนจบหลักสูตร และผู้ตายมีความผูกพันตามกฎหมายต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา แม้ในปัจจุบันผู้ตายยังศึกษาเล่าเรียนมิได้อุปการะบิดามารดาก็ดี บิดามารดาย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อเหตุขาดไร้อุปการะได้
ย่อยาว
คดี ๔ สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
ศาลฎีกาเรียกจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ ๗๘/๒๕๑๑ของศาลชั้นต้น (หมายถึงสำนวนแรก) เป็นจำเลยที่ ๕ ที่ ๖ และเรียกนายสมศักดิ์วนาสวัสดิ์ นายสมยศ วนาสวัสดิ์ ที่เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนั้น เป็นจำเลยที่ ๓ ที่ ๔
โจทก์ทั้ง ๔ สำนวนฟ้องและแก้ฟ้องมีใจความอย่างเดียวกันว่าจำเลยที่ ๑เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ก.ท.ว.๑๑๓๙๖ซึ่งใช้เพื่อขนส่งวัสดุในการก่อสร้างจากกรุงเทพ ฯ มายังที่ทำการก่อสร้างมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์จังหวัดเชียงใหม่ และเพื่อประโยชน์พลอยได้ในการรับจ้างขนสินค้าอื่นเวลารถล่องกรุงเทพ ฯ และได้ให้จำเลยที่ ๒จัดการแทนตามความประสงค์ดังกล่าว จำเลยที่ ๒ เป็นผู้จัดการแทนจำเลยที่ ๑โดยมีนายเป็งแสนเครือ เป็นผู้ขับรถนั้น จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ เป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ ๑ และยังร่วมกับพวกที่ยังไม่ได้ฟ้องอีก ๖ คน เป็นผู้ริเริ่มก่อการตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ด้วย จำเลยที่ ๔ เป็นผู้ได้รับสัมปทานเดินรถส่งคนโดยสารสายเชียงใหม่-ลำพูน จากทางราชการ โดยมีรถยนต์โดยสารหลายคัน รวมทั้งรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน ล.พ.๐๐๒๐๓ ซึ่งมีจำเลยที่ ๖ เป็นผู้ขับในวัตถุประสงค์ความรับผิดชอบและทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๕
เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๐๙ นายเป็ง แสนเครือ ได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ก.ท.ว.๑๑๓๙๖ ของจำเลยที่ ๑ ตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ บรรทุกวัสดุเครื่องก่อสร้างและสิ่งของอื่นเต็มคันรถจากกรุงเทพ ฯ ไปจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อส่งแก่จำเลยที่ ๑ ณ ที่ทำการก่อสร้างดังกล่าว และส่งแก่สาขาตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่จังหวัดเชียงใหม่รถวิ่งไปตามถนนสายลำพูน-เชียงใหม่ ได้มีรถยนต์หมายเลขทะเบียน ล.พ.๐๐๒๐๓ขับโดยจำเลยที่ ๖ ตามวัตถุประสงค์และทางการจ้างของจำเลยที่ ๕ แล่นสวนทางไปเพื่อส่งคนโดยสารยังจังหวัดลำพูน นายเป็ง แสนเครือ และจำเลยที่ ๖ ต่างขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังตามวิสัยปกติชน โดยนายเป็งแสนเครือ ได้ขับรถด้วยความเร็วสูง และขับกินทางขวาของทางโดยไม่ระมัดระวังว่าจะมีรถคันอื่นวิ่งสวนทางมา สวนกับรถยนต์โดยสารที่จำเลยที่ ๖ ขับมาด้วยความเร็วสูงและปราศจากความระมัดระวัง ไม่หลีกเลี่ยงการชนปะทะหรือหยุดรถเสียก่อนที่รถจะสวนกัน ทำให้ตัวถังกะบะด้านขวาของรถบรรทุกที่นายเป็งแสนเครือ เป็นผู้ขับ ปะทะกับตัวถังด้านขวาของรถยนต์โดยสารที่จำเลยที่ ๖เป็นผู้ขับโดยแรง เป็นเหตุให้รถยนต์จำเลยที่ ๖ ซึ่งประกอบด้วยไม้ พังเสียหายทำให้คนโดยสารได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายหลายคน นายเป็ง แสนเครือได้หลบหนีไป ผู้โดยสารไปกับรถหมายเลขทะเบียน ล.พ.๐๐๒๐๓ คือนางสาวศรีวรรณจันต๊ะไพร บุตรนายสุข นางโน จันต๊ะไพร โจทก์ในสำนวนแรกถึงแก่ความตายโจทก์ต้องเสียค่าทำศพ และขาดค่าอุปการะเลี้ยงดู เป็นเงิน ๓๒,๙๐๐ บาท นายสากลหังสพฤกษ์ สามีนางประทิน หังสพฤกษ์ โจทก์สำนวนที่ ๒ ถึงแก่ความตายต้องเสียค่าทำศพและค่าที่โจทก์และบุตรโจทก์ขาดไร้อุปการะ รวม ๑๐๑,๗๐๐ บาทนายปักฮ้อ แซ่โต บุตรนายติ๊ก นางยัง แซ่โต โจทก์สำนวนที่ ๓ ถึงแก่ความตายต้องเสียค่าทำศพและค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู รวม ๖๓,๑๐๐ บาท นายธงชัยประจงพันธ์ บุตรนายเกตุ นางเชื้อ ประจงพันธ์ โจทก์สำนวนที่ ๔ ถึงแก่ความตายต้องเสียค่าทำศพและค่าที่โจทก์ขาดค่าอุปการะเลี้ยงดู ค่าสิ่งของติดตัวที่หายไปรวมเป็นเงิน ๖๓,๕๑๔ บาท จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ โดยตัวแทน ได้เจรจาว่าจะชดใช้ให้แต่ต่อมาเพิกเฉย จำเลยอื่นก็เช่นเดียวกัน จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนในจำนวนเงินดังกล่าว พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและแก้ไขคำให้การทำนองเดียวกันทั้ง ๔ สำนวนว่าได้เช่าซื้อรถ ก.ท.ว.๑๑๓๙๖ มาจริง แต่ได้ให้นายสุวรรณหรือสมุทร แซ่ด่าน เช่าไปใช้ในกิจการซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นนายจ้างจำเลยที่ ๒ และนายสุวรรณ หรือสมุทร แซ่ด่านและนายเป็ง แสนเครือ ตามฟ้อง โจทก์จะเสียหายจริงหรือไม่ จำเลยปฏิเสธทั้งสิ้น โจทก์ไม่เคยทวงถามถึง ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ให้การทำนองเดียวกันทุกสำนวนต่อสู้ว่าบริษัทพระนครขนส่ง จำกัด เพิ่งเป็นบริษัทจำกัดเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๐๙ ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ อ้างว่ากระทำการต่าง ๆ จึงไม่เป็นความจริง เพราะจำเลยที่ ๒ ยังมิได้มีตัวตน จำเลยที่ ๒ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือเป็นตัวแทนจำเลยที่ ๑ รถบรรทุกหมายเลขทะเบียน ก.ท.ว.๑๑๓๙๖ไม่ได้เป็นของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นนายจ้างของนายเป็ง แสนเครือใครจะควบคุมรถดังกล่าวไม่ทราบ จำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายและค่าทดแทนที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ร่วมเกี่ยวข้องกับการขนส่งของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ว.๑๑๓๙๖ โดยจำเลยที่ ๑ ได้ให้นายสุวรรณหรือสมุทร แซ่ด่าน เช่าไปใช้ในกิจการซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่ได้เสียหายจริงดังฟ้อง และไม่เคยทวงถาม ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๕ ให้การต่อสู้ว่าจำเลยมิได้เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๖ แต่ผู้เดียวเป็นเจ้าของรถนั้น จำเลยที่ ๖ มิได้เป็นลูกจ้างหรือวิ่งรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๕ การเดินรถเป็นเอกสิทธิของจำเลยที่ ๖ รถของบริษัทพระนครก่อสร้าง จำกัด เป็นฝ่ายผิดแต่ผู้เดียว ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนโจทก์เรียกสูงกว่าเป็นจริง จำเลยที่ ๖ ให้การว่า รถยนต์หมายเลขทะเบียน ล.พ.๐๐๒๐๓ เป็นของจำเลยที่ ๖ ได้นำเข้าร่วมวิ่งรับส่งคนโดยสารในเส้นทางสัมปทานของจำเลยที่ ๕ โดยเสียค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยที่ ๕ ตามข้อตกลงเท่านั้น จำเลยที่ ๖ ไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาท เหตุที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของคนขับรถยนต์หมายเลขทะเบียนก.ท.ว.๑๑๓๙๖ แต่ฝ่ายเดียว ค่าใช้จ่ายในการทำศพแต่ละศพมากเกินฐานะและเกินความจริง ค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดู โจทก์ก็เรียกมากเกินไป และไม่เป็นที่แน่นอนค่าสิ่งของติดตัวนายธงชัยผู้ตาย ไม่ได้สูญหายตามฟ้องจำเลยไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า รถหมายเลขทะเบียน ก.ท.ว.๑๑๓๙๖เป็นของจำเลยที่ ๑ และอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ โดยนายเป็งแสนเครือ ลูกจ้างจำเลยที่ ๑ เป็นคนขับ ได้ขับรถโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง เป็นเหตุให้รถชนกัน และคนที่โดยสารมาในรถยนต์หมายเลขทะเบียน ล.พ.๐๐๒๐๓ ถึงแก่ความตายตามฟ้อง จำเลยที่ ๒โดยจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ เป็นผู้เริ่มก่อการตั้งและเป็นกรรมการผู้จัดการได้แยกกิจการมาทำการขนส่งอันมีผลประโยชน์ร่วมกับจำเลยที่ ๑จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในผลแห่งการละเมิดนี้ ส่วนจำเลยที่ ๕ที่ ๖ ยังไม่สมควรให้ร่วมรับผิดด้วย พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสี่สำนวน เป็นจำนวนเงินตามที่โจทก์ฟ้องพร้อมทั้งดอกเบี้ย และให้ร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความร้อยละ ๕ ตามจำนวนเงินค่าเสียหายนั้นให้โจทก์แต่ละสำนวนด้วย ส่วนจำเลยที่ ๕ ที่ ๖ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความจำเลยทั้งสองนี้ให้เป็นพับไป
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ อุทธรณ์ว่า ไม่ต้องรับผิด และค่าเสียหายที่ให้ชดใช้ก็สูงเกินสมควร ส่วนจำเลยที่ ๕ ที่ ๖ ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์จึงยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าขณะเกิดเหตุละเมิด จำเลยที่ ๒ยังไม่มีสภาพบุคคล ไม่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย จึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ เป็นผู้ริเริ่มก่อการตั้งบริษัทจำเลยที่ ๒ ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด ได้เริ่มดำเนินกิจการก่อนเมื่อเกิดละเมิดขึ้นจึงต้องรับผิดในฐานะส่วนตัว เพราะเท่ากับดำเนินการของตนเองพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและโจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นทั้งสองประเด็นนี้แม้จำเลยจะได้ให้การต่อสู้ไว้ แต่ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยมิได้หยิบยกปัญหาข้อนี้เป็นข้ออุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามตามมาตรา ๒๔๙ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งจึงไม่รับวินิจฉัย ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ ไม่ต้องรับผิด เพราะจำเลยที่ ๑ได้ให้นายสุวรรณหรือสมุทร แซ่ด่าน เช่ารถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียนก.ท.ว.๑๑๓๙๖ ไปตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความจริงข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุรถหมายเลขทะเบียน ก.ท.ว.๑๑๓๙๖อยู่ในความครอบครองและได้ใช้ในกิจการของจำเลยที่ ๑ โดยมีนายเป็งแสนเครือ ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ เป็นคนขับ ปัญหาที่ว่า จำเลยที่ ๓ และที่ ๔จะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ เห็นว่า ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ ๒ แม้ก่อนหรือหลังมีสภาพเป็นบริษัทจำกัด และทั้งจำเลยที่ ๓ ที่ ๔มีกิจการหรือผลประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ ๑ อย่างไร จำเลยที่ ๓และที่ ๔ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในการละเมิดตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์เรียกร้องค่าเสียหายในการจัดการศพและค่าขาดไร้อุปการะแต่ละศพสูงเกินไป โดยเฉพาะรายที่มีคนเอาเงินมาช่วยทำบุญ ควรจะหักเงินจำนวนนั้นออกจากที่จ่ายไปจริง เห็นว่า การที่มีผู้คนเอาเงินมาช่วยทำศพผู้ตายมากน้อยเพียงไร จะเอามาช่วยบรรเทาความรับผิดของจำเลยหาได้ไม่ และศาลฎีกาได้กำหนดให้ตามที่เห็นควรแต่ละรายไป ที่จำเลยฎีกาว่า ชอบที่จะให้จำเลยที่ ๕ ที่ ๖ ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดด้วย เพราะจำเลยที่ ๖ได้มีส่วนร่วมประมาทในการละเมิดนี้ ประเด็นข้อนี้มิได้ว่ากล่าวกันมาแต่ในชั้นอุทธรณ์ จึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๓ ที่ ๔และให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์สำนวนที่สองและสำนวนที่สี่ตามที่ศาลฎีกากำหนดให้ พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗ครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จตามที่โจทก์ขอ ให้เสียค่าฤชาธรรมเนียมโดยเสียค่าขึ้นศาลในจำนวนทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะคดีให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์