คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระเงินค่าสินค้า 429,377 บาทแก่โจทก์ และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้งเป็นเงินประมาณ 430,000 บาท แต่เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วโจทก์จำเลยต่างไม่มีหนี้ต่อกันพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้ง คดีมีปัญหาในชั้นอุทธรณ์เฉพาะค่าสินค้าตามฟ้อง ส่วนค่าเสียหายตามฟ้องแย้งไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยจะต้องรับผิดในค่าสินค้าต่อโจทก์เป็นเงิน 353,877.44 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องศาลฎีกาพิพากษายืน ดังนี้ หนี้จำนวน 430,000 บาท ที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเกิดขึ้นตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยจึงมีสิทธิขอหักกลบลบหนี้อันเป็นผลให้จำเลยหลุดพ้นหนี้ของตนในส่วนที่ต้องชำระให้โจทก์เท่าที่หักกลบลบหนีกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 ได้ตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา หาใช่ตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ซึ่งเมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้ว จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์ ศาลชั้นต้นจึงต้องออกคำบังคับให้จำเลยชำระหนี้โจทก์

ย่อยาว

กรณีเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าปั่นเกลียวและค่าเส้นด้ายฝ้ายให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๔๒๙,๓๗๗ บาท และให้จำเลยได้รับค่าเสียหายเป็นเงินประมาณ ๔๓๐,๐๐๐ บาท จากโจทก์ตามฟ้องแย้ง เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้ว โจทก์และจำเลยต่างไม่มีหนี้สินที่จะต้องชำระต่อกันอีก พิพากษายกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลย โจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์ในเรื่องสิทธิเรียกร้องค่าปั่นเกลียวด้ายและค่าเส้นด้ายฝ้าย ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยจะต้องรับผิดใช้ค่าปั่นเกลียวและค่าเส้นด้ายฝ้ายแก่โจทก์เป็นเงิน ๓๕๓,๘๗๗.๔๔ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๔ ซึ่งเป็นวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยฎีกาศาลฎีกาพิพากษายืน แต่โจทก์ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลยตามฟ้องแย้งเป็นเงิน ๔๓๐,๐๐๐ บาท ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย
ต่อมาโจทก์ยื่นคำแถลงว่า เมื่อหักกลบลบหนี้กันตามผลของคำพิพากษาแล้ว จำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๕๑,๓๔๖.๘๙ บาท จึงขอให้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาจำเลยยื่นคำแถลงว่า ตามผลของคำพิพากษาโจทก์ต้องชดใช้ค่าเสียหาย ๗๕,๔๕๙.๕๖ บาท ให้แก่จำเลย ซึ่งจำเลยมีสิทธิขอหักกลบลบหนี้รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความที่ต้องใช้แทนโจทก์ จึงขอหักกับเงินจำนวนดังกล่าว
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ไม่มีหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ให้ยคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าปั่นเกลียวและค่าเส้นด้ายฝ้ายจากจำเลย และจำเลยได้ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๔๒๙,๓๗๗ บาทแก่โจทก์ และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายให้จำเลยเป็นเงินประมาณ ๔๓๐,๐๐๐ บาท แต่เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วโจทก์จำเลยจึงต่างไม่มีหนี้ต่อกันพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้งคงมีปัญหามาสู่ศาลอุทธรณ์ต่อมาเฉพาะค่าปั่นเกลียวและค่าเส้นด้ายฝ้าย ส่วนค่าเสียหายตามฟ้องแย้งไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเฉพาะค่าปั่นเกลียวและค่าเส้นด้ายฝ้ายว่า จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเงิน ๓๕๓,๘๗๗.๔๔ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๔) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์แต่เนื่องจากศาลฎีกาเกรงว่าจะเกิดปัญหาในการตีความตามคำพิพากษาซึ่งแม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยให้โจทก์รับผิดในค่าเสียหายต่อจำเลยเป็นเงิน ๔๓๐,๐๐๐ บาท แต่เมื่อพิพากษาศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องแย้งเพราะเห็นว่าหนี้ตามฟ้องและฟ้องแย้งหักกลบลบหนี้กันพอดีดังนั้น เมื่อศาลฎีกาพิพากษาคดีนี้ นอกจากจะพิพากษาตามศาลอุทธรณ์แล้ว ศาลฎีกายังได้กล่าวถึงค่าเสียหายที่โจทก์จะต้องชดใช้ให้จำเลยตามฟ้องแย้งเป็นเงิน ๔๓๐,๐๐๐ บาทด้วย โดยศาลฎีกาได้เน้นไว้ในท้ายคำพิพากษาด้วยว่า ค่าเสียหายดังกล่าวตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงเห็นได้ว่าค่าเสียหายจำนวน ๔๓๐,๐๐๐ บาท ที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยตามฟ้องแย้งนั้น เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งยุติแล้วโดยไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา สรุปความได้ว่าศาลฎีกาเพียงกล่าวถึงค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพื่อป้องกันการไขว้เขวของโจทก์เท่านั้น หาใช่เป็นผลจากการวินิจฉัยคดีของศาลฎีกาโดยตรงไม่ ฉะนั้น หนี้ตามคำพิพากษาจำนวน ๔๓๐,๐๐๐ บาท ที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยจึงเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นส่วนหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์เป็นเงิน ๓๕๓,๘๗๗.๔๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องคือวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๔ นั้น เกิดผลตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คือวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ จำเลยจึงมีสิทธิขอหักกลบลบหนี้อันเป็นผลให้จำเลยหลุดพ้นหนี้ของตนในส่วนที่ต้องชำระให้โจทก์เท่าที่หักกลบลบหนี้กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๑ ได้ตั้งแต่วันนั้น หาใช่ตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคือวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๒๖ ดังจำเลยฎีกาไม่ จำเลยย่อมขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ได้ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ อันเป็นวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งเมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วจำเลยก็ยังเป็นหนี้โจทก์อยู่อีก ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยชำระหนี้โจทก์จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share