คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4477/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยต่างอ้างอ.เป็นพยานร่วมกันในฐานะคนกลางแม้ต่อมาจำเลยจะยื่นคำร้องไม่ติดใจสืบพยานปากนี้ก็ตามแต่เป็นเวลาภายหลังที่พยานเบิกความแล้วจึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงน้ำหนักคำพยานดังกล่าวในฐานะพยานร่วมให้เสียไปแต่อย่างใด โจทก์ฟ้องว่าจำเลยนำเจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์และในการทำแผนที่พิพาทโจทก์ได้นำชี้ที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทว่าเป็นของโจทก์ด้วยนั้นถือไม่ได้ว่าเจ้าของที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยเจ้าของที่ดินแปลงอื่นนอกเขตที่พิพาทนั้นจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องสอดเข้ามาในคดีไม่ว่าในฐานะเป็นจำเลยร่วมหรือคู่ความฝ่ายที่สาม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินเนื้อที่ 90 ไร่ ซึ่งอยู่ที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อเดือนมกราคม 2525 จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดที่ดินดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่ประมาณ27 ไร่ เพื่อออกหนั้งสือรับรองการทำประโยชน์ อ้างว่าที่ดินส่วนนั้นเป็นของจำเลยขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ซื้อจากผู้มีชื่อเมื่อปี 2507 ขอให้ยกฟ้อง ก่อนสืบพยาน ศาลมีคำสั่งให้ทำแผนที่พิพาท และคู่ความรับรองความถูกต้องแล้วแต่ตอนทำแผนที่พิพาท โจทก์นำชี้บริเวณบางส่วนนอกเขตที่พิพาทว่าเป็นของโจทก์ด้วยนายสุนันท์ อินทรีย์ จึงยื่นคำร้องเข้ามาในคดี อ้างว่าที่ดินนอกเขตที่พิพาทที่โจทก์นำชี้เป็นของผู้ร้อง ไม่ใช่ของโจทก์ และขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) ศาลชั้นต้นเห็นว่ากรณีของผู้ร้องเป็นเรื่องร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม จึงอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องและให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอด จำเลยและผู้ร้องสอดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาโต้แย้งสิทธิครอบครองที่พิพาทระหว่างโจทก์จำเลยว่าพยานโจทก์ต่างให้การสอดคล้องต้องกันยืนยันสิทธิของโจทก์เหนือที่พิพาทซึ่งมีมาแต่ดั้งเดิม ก่อนจำเลยจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่บริเวณนี้เป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะคำเบิกความของ อ. ซึ่งเป็นพยานร่วมอยู่ในฐานะคนกลาง ย่อมมีน้ำหนักเชื่อถือได้มั่นคงแม้จำเลยจะยื่นคำร้องไม่ติดใจสืบพยานปากนี้ แต่ก็เป็นเวลาภายหลังที่พยานเบิกความแล้ว จึงไม่เป็นผลเปลี่ยนแปลงน้ำหนักคำพยานปากนี้ในฐานะพยานร่วมให้เสียไปแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทมาตั้งแต่ดั้งเดิมติดต่อกันตลอดมาโดยไม่มีบุคคลใดเข้ามาเกี่ยวข้องโต้แย้งสิทธิที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าที่พิพาทของโจทก์นั้น ชอบแล้ว สำหรับปัญหาระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์และจำเลยพิพาทกันเป็นคดีนี้เฉพาะที่ดินซึ่งเป็นที่พิพาท มิได้มีปัญหาโต้แย้งเลยเข้ามาถึงที่ดินที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าเป็นของตน เมื่อผู้ร้องสอดมิได้มีข้อพิพาทอันใดเกี่ยวข้องกับที่ดินซึ่งพิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยนี้แล้ว ผู้ร้องสอดจะหยิบยกเอาที่ดินแปลงอื่นนั้นมาตั้งเป็นข้อพิพาทและถือสิทธิร้องสอดเข้ามาหาได้ไม่ แม้ถึงว่าโจทก์ในคดีนี้จะนำชี้อ้างว่าที่ดินแปลงที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าเป็นเจ้าของเป็นของโจทก์ด้วยก็ตามหากผู้ร้องสอดเห็นว่าการกระทำของโจทก์เช่นนั้นเป็นการโต้แย้งสิทธิ ก็ชอบที่ผู้ร้องสอดจะนำปัญหาไปฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่โดยตั้งข้อพิพาทกับโจทก์โดยเฉพาะ ผู้ร้องสอดไม่มีสิทธิประการใดที่จะร้องสอดเข้ามาในคดีเรื่องนี้ไม่ว่าในฐานะเป็นจำเลยร่วมหรือเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม มิฉะนั้นแล้ว บุคคลอื่น ๆ ก็ถือสิทธิร้องสอดเข้ามาในคดีได้ง่าย ๆ แทนที่ศาลจะพิจารณาแต่เพียงประเด็นเดียวเฉพาะที่โจทก์จำเลยพิพาทกันโดยตรง กลับจะต้องไปพิจารณาประเด็นอื่น ๆ ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยนั้นเลย ทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากแก่การพิจารณาคดี ศาลชั้นต้นควรที่จะสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอดเสียตั้งแต่ต้น การที่ศาลล่างทั้งสองรับวินิจฉัยและพิพากษาคดีอันเกี่ยวกับที่ดินแปลงที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าเป็นเจ้าของด้วยนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอดเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share