คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4471/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่มีเหตุบอกล้างการให้โดยเสน่หาและให้ถอนอายัด ขอให้ศาลยกฟ้องส่วนฟ้องแย้งเป็นเรื่องที่จำเลยขอให้โจทก์ชดใช้ค่าสิ่งปลูกสร้างและค่าความเสียหายเดือดร้อนต่าง ๆ ที่จำเลยได้รับเกี่ยวกับการก่อสร้าง ถ้าศาลให้เพิกถอนคืนการให้โดยเสน่หา ฟ้องแย้งที่เรียกค่าสิ่งปลูกสร้างและค่าเสียหาย จึงเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม มาตรา 179 วรรคท้าย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 6

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยซึ่งเป็นภริยาโจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน 3 แปลง ซึ่งโจทก์ผู้เป็นสามียกให้โดยเสน่หาคืนโจทก์ เพราะโจทก์ได้บอกล้างสัญญายกให้นั้นแล้ว ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยนำที่ดินทั้งสามแปลงที่โจทก์ยกให้โดยเสน่หาไปยื่นขอกู้เงินที่ใช้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดินดังกล่าว และจำนองไว้ต่อธนาคารอาคารสงเคราะห์ กับทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างซึ่งจำเลยต้องใช้เงินถึง 3,650,000 บาท เป็นเงินกู้จากธนาคารดังกล่าวส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นเงินส่วนตัวของจำเลย การที่โจทก์ใช้สิทธิบอกล้างนิติกรรมยกที่ดินให้โดยเสน่หา และใช้สิทธิฟ้องเพิกถอนสัญญายกให้นั้น เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว จงใจกลั่นแกล้งเอาเปรียบจำเลย โดยไม่คำนึงถึงความเดือนร้อนและความเสียหายอันจำเลยจะพึงได้รับ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ภายหลังจากศาลชั้นต้นงดชี้สองสถาน แต่ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้ง 2 ฉบับ คือ ฉบับลงวันที่ 6 สิงหาคม 2546 และ 8 สิงหาคม 2546 โดยฉบับแรกขอแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องกับฟ้องแย้งว่า หากศาลพิจารณาว่าโจทก์สามารถใช้สิทธิบอกล้างได้ทุกฝ่ายต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม โจทก์ต้องชดใช้สิ่งปลูกสร้างและค่าความเดือดร้อนต่าง ๆ ที่จำเลยได้รับจากโจทก์ เพราะจำเลยได้ใช้เงินซึ่งเป็นสินส่วนตัวและก่อหนี้สินส่วนตัวเพื่อสร้างบ้านดังกล่าวขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลย 10,145,187 บาท และต่อมาอีก 2 วัน จำเลยขอแก้ไขฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายเพิ่มขึ้นรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 16,343,841 บาท
ศาลชั้นต้นตรวจคำให้การ คำร้องขอแก้ไขคำให้การกับฟ้องแย้งและแก้ไขฟ้องแย้งแล้ว สั่งรับคำให้การและแก้ไขคำให้การ แต่ไม่รับฟ้องแย้งและแก้ไขฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งและแก้ไขฟ้องแย้งของจำเลยชอบหรือไม่ เห็นว่า จำเลยให้การปฏิเสธว่า โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ไม่มีเหตุบอกล้างการให้โดยเสน่หาและให้ถอนอายัด ขอให้ศาลยกฟ้อง ส่วนฟ้องแย้งและแก้ไขฟ้องแย้งเป็นเรื่องที่จำเลยขอให้โจทก์ชดใช้ค่าสิ่งปลูกสร้าง และค่าความเสียหายเดือดร้อนต่าง ๆ ที่จำเลยได้รับเกี่ยวกับการก่อสร้าง ถ้าศาลให้เพิกถอนคืนการให้โดยเสน่หา ฟ้องแย้งและแก้ไขฟ้องแย้งที่เรียกค่าสิ่งปลูกสร้าง ค่าเสียหาย และค่าเสียหายเพิ่มขึ้นจากที่ฟ้องแย้งไว้ครั้งแรกรวม 16,000,000 บาทเศษ นั้น เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม พอที่จะรวมการพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม มาตรา 179 วรรคท้าย พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 6 ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งและแก้ไขฟ้องแย้งชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share