แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่ผู้ตายและจำเลยต่างขับรถด้วยความเร็ว และต่างขับรถเข้าไปในช่องเดินรถของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นการขับรถโดยประมาททั้งสองฝ่ายเมื่อผู้ตายมีส่วนกระทำผิดด้วย ผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบิดาผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามมาตรา 5(2) ไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตามมาตรา 30
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคืน เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2535 เวลากลางวัน จำเลยขับรถยนต์ตู้โดยสาร หมายเลขทะเบียน 10-0890 สงขลา แล่นไปตามถนนกาญจนวนิชจากอำเภอหาดใหญ่มุ่งหน้าไปอำเภอเมืองสงขลาชิดไปทางขวาคร่อมเส้นแนวแบ่งช่องเดินรถโดยความประมาทน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินและไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น เมื่อถึงหน้าวัดเนินไศล ตำบลพะวง อำเภอเมืองสงขลา ซึ่งเป็นย่านชุมชนการจราจรคับคั่ง จำเลยไม่ลดความเร็วเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน สงขลา ผ-9694 ที่นายทรงกลด มองมาไพรี ขับสวนทางมา รถจักรยานยนต์เสียหายนายทรงกลดถึงแก่ความตายและนายสมบัติ หมัดสะอิ ผู้ซึ่งโดยสารรถที่จำเลยขับได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยหลบหนีไม่ให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 34, 43, 78,157, 160
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายกล่อม มองมาไพรี บิดาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78, 160 วรรคแรก จำคุก 3 เดือนและปรับ 9,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน ปรับ 6,000 บาทโทษจำคุกให้รอไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษจำเลยตามมาตรา 291ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำคุก 6 ปี ด้วย เมื่อรวมกับโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 78, 160 วรรคแรก ซึ่งไม่รอการลงโทษและปรับแล้วเป็นจำคุก 6 ปี 2 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์ตู้รับผู้โดยสารเต็มคันรถโดยมีนายสมบัติ หมัดสะอิ นั่งด้านหน้าแถวเดียวกับจำเลย จากอำเภอหาดใหญ่มุ่งหน้าไปยังอำเภอเมืองสงขลาตามถนนกาญจนวานิชส่วนนายทรงกลด มองมาไพรี ผู้ตาย ขับรถจักรยานยนต์บนถนนสายเดียวกันมุ่งหน้าไปยังอำเภอหาดใหญ่ เมื่อรถทั้งสองคันแล่นสวนกันมาถึงที่เกิดเหตุชนกันตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1 เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และนายสมบัติได้รับอันตรายสาหัส การที่ผู้ตายและจำเลยต่างขับรถด้วยความเร็วและต่างขับรถเข้าไปในช่องเดินรถของอีกฝ่ายหนึ่งจึงฟังได้ว่าขับรถโดยประมาททั้งสองฝ่าย ที่จำเลยฎีกาอีกข้อว่า ผู้ตายไม่ใช่ผู้เสียหายตามนิตินัยนั้น เมื่อผู้ตายมีส่วนกระทำผิดด้วยผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบิดาผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตามมาตรา 5(2) โจทก์ร่วมจึงไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามมาตรา 30 ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วโจทก์ร่วมก็ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน คดีนี้โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ยกคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม