แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การประกันภัยในการรับขนมีวิธีการเฉพาะซึ่งแตกต่างจากการประกันภัยทั่วไป เพราะราคาแห่งมูลประกันภัยหรือ ส่วนได้เสียสำหรับการประกันภัยในการรับขนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 884 วรรคหนึ่ง ไม่ใช่หมายความเพียงแต่เฉพาะราคาค่าสินค้าเท่านั้น แต่ยังอาจรวมถึง ค่าระวางขนส่งและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้วแต่กรณีด้วย เครื่องพิมพ์ซองพิพาทมีราคาซีแอนด์เอฟ จำนวน 71,681ปอนด์สเตอร์ลิง ส่วนราคาที่โจทก์เอาประกันภัยกับผู้ร้องสอดมีจำนวน 78,849 ปอนด์สเตอร์ลิง เมื่อคำนวณแล้วเท่ากับว่าราคาที่เอาประกันภัยนั้นเป็นร้อยละ 110 ของราคาสินค้า แสดงว่าส่วนที่เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 10 ของราคาสินค้าดังกล่าวก็คือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่รวมเป็นมูลประกันภัย ซึ่งเป็นเรื่องปกติในทางปฏิบัติสำหรับการประกันภัยในการขนส่งสินค้า ดังนี้เงินจำนวน 187,610 บาท ที่โจทก์เรียกว่าเป็น “ค่าเรียกร้อง”คือจำนวนร้อยละ 10 ของราคาเครื่องพิมพ์พิพาทที่เสียหายจำนวน 1,876,100 บาท จึงฟังได้ว่าค่าเรียกร้องดังกล่าวก็คือ ค่าใช้จ่ายอันถือเป็นส่วนหนึ่งของมูลประกันภัย เป็นส่วนได้ เสียซึ่งผู้ร้องสอดได้รับประกันภัยกับโจทก์ด้วย ตาม มาตรา 884 วรรคหนึ่ง ดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน2,242,659.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้นจำนวน 2,063,710 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2534 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,242,659.10 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นจำนวน2,062,710 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น บริษัทประกันภัยสากล จำกัดร้องสอดขอเข้าแทนที่โจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน2,242,659.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่บริษัทประกันภัยสากล จำกัด ผู้ร้องสอด
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,876,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องสอด
ผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้สั่งซื้อเครื่องพิมพ์ซองเอกสารธุรกิจจากบริษัทโซเปอร์โค เอส.เอ.ประเทศเบลเยี่ยมมาใช้ในกิจการของโจทก์ บริษัทดังกล่าวได้ส่งสินค้าเครื่องพิมพ์ซองดังกล่าวมาให้โจทก์โดยทางเรือซึ่งโจทก์ได้ประกันภัยไว้กับผู้ร้องสอด ต่อมาโจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ขนเครื่องพิมพ์ซองจากท่าเรือคลองเตย ไปยังโรงงานของโจทก์ จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2ทำการขนส่งร่วมและพนักงานของจำเลยที่ 2 ได้ทำหน่วยพิมพ์ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเครื่องพิมพ์ตกสู่พื้นได้รับความเสียหายโจทก์ได้แจ้งให้ผู้ร้องสอดใช้ค่าเสียหายสำหรับเครื่องพิมพ์ซองซึ่งระบุรายละเอียดค่าเสียหายว่า เป็นค่าเครื่องพิมพ์ซองราคาซีแอนด์เอฟ 1,876,100 บาท ค่าเรียกร้อง 187,610 บาท และค่าภาษี 225,132 บาทรวม 2,288,842 บาท ต่อมาอนุญาโตตุลาการได้ชี้ขาดให้ผู้ร้องสอดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์จำนวน 2,063,710บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2534 ซึ่งผู้ร้องสอดได้ชำระค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2536 เป็นเงิน 2,242,659.10 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องสอดว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระค่าเรียกร้องจำนวน 187,610 บาท ให้แก่ผู้ร้องสอดตั้งแต่เมื่อใดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การประกันภัยในการรับขนมีวิธีการเฉพาะซึ่งแตกต่างจากการประกันภัยทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 884 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ถ้าของซึ่งขนส่งนั้นได้เอาประกันภัยเมื่ออยู่ในระหว่างส่งเดินทางไปท่านให้คิดมูลประกันภัยในของนั้นนับรวมทั้งราคาของ ณ สถานที่และในเวลาที่ผู้ขนส่งได้รับของและให้เพิ่มค่าระวางส่งของไปยังสถานที่ส่งมอบแก่ผู้รับตราส่งกับทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เนื่องด้วยการส่งของไปนั้นเข้าด้วย” ซึ่งหมายถึงว่าราคาแห่งมูลประกันภัยหรือส่วนได้เสียสำหรับการประกันภัยในการรับขนนั้นไม่ใช่หมายความเพียงแต่เฉพาะราคาค่าสินค้าเท่านั้นแต่ยังอาจรวมถึงค่าระวางขนส่งและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้วแต่กรณีด้วยข้อเท็จจริงคดีนี้ได้ความว่า เครื่องพิมพ์ซองที่พิพาทมีราคาซีแอนด์เอฟ จำนวน 71,681 ปอนด์สเตอร์ลิง ส่วนราคาที่โจทก์เอาประกันภัยกับผู้ร้องสอดมีจำนวน 78,849 ปอนด์สเตอร์ลิงเมื่อคำนวณแล้วเท่ากับว่าราคาที่เอาประกันภัยนั้นเป็นร้อยละ110 ของราคาสินค้า แสดงว่าส่วนที่เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 10 ของราคาสินค้าดังกล่าวก็คือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่รวมเป็นมูลประกันภัยซึ่งเป็นเรื่องปกติในทางปฏิบัติสำหรับการประกันภัยในการขนส่งสินค้าดังนี้ เงินจำนวน 187,610 บาท ที่โจทก์เรียกว่าเป็น “ค่าเรียกร้อง”คือจำนวนร้อยละ 10 ของราคาเครื่องพิมพ์พิพาทที่เสียหายจำนวน1,876,100 บาท จึงฟังได้ว่าค่าเรียกร้องดังกล่าวก็คือ ค่าใช้จ่ายอันถือเป็นส่วนหนึ่งของมูลประกันภัย เป็นส่วนได้เสียซึ่งผู้ร้องสอดได้รับประกันภัยกับโจทก์ด้วยตามมาตรา 884 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวเมื่อรวมมูลประกันภัยในส่วนราคาหน่วยพิมพ์ที่เสียหายเป็นเงินจำนวน 2,063,710 บาท ซึ่งถือได้ว่าเป็นค่าเสียหายของโจทก์ตามที่ผู้ร้องสอดฎีกา และเป็นจำนวนเงินที่ตรงกับค่าสินไหมทดแทนที่อนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ผู้ร้องสอดชำระแก่โจทก์ กับตรงตามจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเป็นค่าเสียหายของโจทก์ที่จำเลยทั้งสองต้องชำระแก่ผู้ร้องสอด โดยที่จำเลยทั้งสองก็ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแต่อย่างใดเมื่อผู้ร้องสอดในฐานะผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์แล้ว จึงเข้ารับช่วงสิทธิของโจทก์เรียกให้จำเลยทั้งสองชำระแก่ผู้ร้องสอดได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 880 วรรคหนึ่ง
ส่วนปัญหาเรื่องดอกเบี้ยนั้น ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2534 ซึ่งเป็นวันที่สินค้าหน่วยพิมพ์ที่พิพาทได้รับความเสียหาย และผู้ร้องสอดได้ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน2,063,710 บาท คิดจากวันที่ 17 ธันวาคม 2534 ถึงวันที่ 11กุมภาพันธ์ 2536 เป็นเงิน 178,949.10 บาท ให้แก่โจทก์ไปจำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชำระให้แก่ผู้ร้องสอดด้วย รวมแล้วจำเลยทั้งสองต้องชำระให้แก่ผู้ร้องสอด คิดถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2536 เป็นเงินทั้งสิ้น 2,242,659.10 บาท หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองต้องชำระดอกเบี้ยของต้นเงิน 2,063,710 บาท ให้แก่ผู้ร้องสอด
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีจำเลยทั้งสองไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ชำระจากต้นเงิน 2,063,710 บาท