คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4434/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านขอนำพยานหลักฐานมาให้ผู้คัดค้านสอบสวนประกอบคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องที่ได้ยื่นไว้เป็นเรื่องที่อยู่ในชั้นการตรวจคำขอรับชำระหนี้ซึ่งผู้คัดค้านมีอำนาจสอบสวนคดีเรื่องหนี้สินแล้วทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระหนี้ต่อศาลตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา105การที่ผู้คัดค้านมีคำสั่งให้งดการสอบสวนพยานหลักฐานของผู้ร้องและมีคำสั่งยกคำร้องที่ผู้ร้องขออนุญาตให้นำพยานหลักฐานมาให้ผู้คัดค้านสอบสวนใหม่จึงเป็นการกระทำในขั้นตอนของการสอบสวนตรวจคำขอรับชำระหนี้เท่านั้นและยังไม่เป็นการแน่นอนว่าผู้คัดค้านจะทำความเห็นควรให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องซึ่งแม้หากต่อมาปรากฎว่าผู้คัดค้านจะทำความเห็นควรอนุญาตหรือให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องเสียด้วยเหตุใดก็ตามลำพังความเห็นของผู้คัดค้านก็หามีผลบังคับแต่อย่างใดไม่เพราะศาลอาจวินิจฉัยยกหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นได้คำสั่งของผู้คัดค้านดังกล่าวจึงยังไม่เป็นการกระทำหรือคำวินิจฉัยที่ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา146ผู้ร้องจึงยังไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งกลับคำวินิจฉัยของผู้คัดค้านในชั้นนี้เป็นคดีได้ปัญหาข้อนี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างแต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ (จำเลย) เด็ดขาด ผู้ร้องในฐานะโจทก์และเจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจำนวน 6,377,204.30 บาทจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ ซึ่งการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ได้เลื่อนวันนัดมาหลายครั้ง ครั้งหลังสุดนัดวันที่ 24สิงหาคม 2536 เวลา 9.30 นาฬิกา ผู้ร้องได้รับหมายนัดโดยชอบแล้วไม่มาตามนัด ผู้คัดค้านให้งดสอบสวน ระหว่างผู้คัดค้านพิจารณาทำความเห็นเสนอศาล ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2536 อ้างเหตุมิได้เจตนาละทิ้งหรือประวิงการสอบสวน ขอให้ผู้ร้องนำพยานหลักฐานมาให้สอบสวนประกอบคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง ผู้คัดค้านมีคำสั่งยกคำร้องแล้วได้เสนอความเห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 107 (1) ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่14 กันยายน 2536 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2536ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ตามความเห็นของผู้คัดค้าน
ผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2536 ว่า ในวันนัดสอบสวน คำขอรับชำระหนี้วันที่ 24 สิงหาคม 2536 ซึ่งนัดไว้เวลา 9.30 นาฬิกาผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องได้เดินทางไปตามนัด แต่เนื่องจากการจราจรติดขัดมากและรถยนต์ของผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องเกิดขัดข้อง ซึ่งกว่าจะแก้ไขเสร็จเป็นเวลาประมาณ10.30 นาฬิกา และตอนบ่ายผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องติดนัดพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 13067/2535 ของศาลชั้นต้น ซึ่งนัดไว้เวลา 13.30 นาฬิกา จึงไม่สามารถเดินทางไปให้ผู้คัดค้านสอบสวนตามนัดได้ ทั้งโทรศัพท์ของกรมบังคับคดีเกิดเหตุขัดข้องไม่สามารถติดต่อได้ กรณีเป็นเหตุสุดวิสัย และตอนเย็นผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องต้องเดินทางไปศาลจังหวัดอำนาจเจริญเพื่อว่าความครั้นเมื่อกลับจากศาลจังหวัดอำนาจเจริญ ผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องรีบไปพบผู้คัดค้าน จึงทราบว่าผู้คัดค้านมีความเห็นยกคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง หลังจากนั้นผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านขอนำพยานหลักฐานมาให้สอบสวนประกอบคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง ผู้คัดค้านไม่ยอม ก่อนหน้านี้ที่ผู้ร้องเคยขอเลื่อนการสอบสวนเนื่องจากผู้ร้องยังไม่ได้รับเอกสารที่จะใช้อ้างอิงจากศาลชั้นต้น ผู้ร้องไม่มีเจตนาประวิงการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ หนี้ที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้เป็นมูลหนี้เดียวกันกับที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องล้มละลายในคดีนี้ซึ่งเป็นหนี้ตามคำพิพากษาที่ลูกหนี้จะต้องรับผิด ขอให้มีคำสั่งกลับความเห็นของผู้คัดค้าน และมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องนำพยานหลักฐานมาให้ผู้คัดค้านสอบสวนประกอบคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องต่อไป
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิได้นำพยานหลักฐานมาให้ผู้คัดค้านสอบสวนซึ่งผู้คัดค้านได้ให้โอกาสผู้ร้องโดยอนุญาตให้เลื่อนการสอบสวนมารวม 6 ครั้ง ที่ผู้ร้องอ้างว่าในวันนัดครั้งหลังสุด การจราจรติดขัดมากและรถยนต์ของผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องเกิดขัดข้องระหว่างเดินทางไปให้ผู้คัดค้านสอบสวนนั้น ไม่ใช่เป็นเหตุสุดวิสัย ทั้งเมื่อผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องกลับจากศาลจังหวัดอำนาจเจริญแล้ว ก็หาได้มาพบผู้ค้านในทันทีไม่ แต่มาพบในวันที่ 3 กันยายน 2536 ซึ่งล่วงเลยเวลาไปหลายวันแล้ว พฤติการณ์ถือว่าผู้ร้องละเลยไม่เอาใจใส่การดำเนินคดีขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง ให้ยก คำร้องขอ งผู้ร้อง
ผู้ร้อง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง ให้ผู้คัดค้านดำเนินการพิจารณาคำขอรับชำระหนี้ใหม่ตามบทบัญญัติในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
ผู้คัดค้าน ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในชั้นการตรวจคำขอรับชำระหนี้ ผู้คัดค้านมีคำสั่งให้งดการสอบสวนพยานหลักฐานของผู้ร้องของโดยถือว่าการที่ผู้ร้องไม่มาตามนัดโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง เป็นการไม่ติดใจนำพยานหลักฐานมาให้สอบสวนตามเอกสารหมาย ค.11 ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านขอนำพยานหลักฐานมาให้สอบสวนตามเอกสารหมาย ค.12 ผู้คัดค้านมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 8กันยายน 2536 ขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องนำพยานหลักฐานมาให้ผู้คัดค้านสอบสวน ต่อมาวันที่ 14 กันยายน 2536 ผู้คัดค้านได้ทำความเห็นต่อศาลชั้นต้นเห็นควรให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2536 ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ตามความเห็นของผู้คัดค้าน เห็นว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านขอนำพยานหลักฐานมาให้ผู้คัดค้านสอบสวนประกอบคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องที่ได้ยื่นไว้นั้นเป็นเรื่องที่อยู่ในชั้นการตรวจคำขอรับชำระหนี้ ซึ่งผู้คัดค้านมีอำนาจสอบสวนคดีเรื่องหนี้สิน แล้วทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระหนี้ต่อศาลตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 105 การที่ผู้คัดค้านมีคำสั่งให้งดการสอบสวนพยานหลักฐานของผู้ร้องและมีคำสั่งยกคำร้องที่ผู้ร้องขออนุญาตให้นำพยานหลักฐานมาให้ผู้คัดค้านสอบสวนใหม่ตามเอกสารหมาย ค.12 จึงเป็นการกระทำในขั้นตอนของการสอบสวนตรวจคำขอรับชำระหนี้เท่านั้นและยังไม่เป็นการแน่นอนว่าผู้คัดค้านจะทำความเห็นควรให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง ซึ่งแม้หากต่อมาปรากฎว่าผู้คัดค้านทำความเห็นควรอนุญาตหรือให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องเสียด้วยเหตุใดก็ตาม ลำพังความเห็นของผู้คัดค้านก็หามีผลบังคับแต่อย่างใดไม่เพราะศาลอาจวินิจฉัยยกหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นได้ คำสั่งของผู้คัดค้านดังกล่าวจึงยังไม่เป็นการกระทำหรือคำวินิจฉัยที่ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 146 ผู้ร้องจึงยังไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งกลับคำวินิจฉัยของผู้คัดค้านในชั้นนี้เป็นคดีนี้ได้ ปัญหาข้อนี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้ยก คำร้องขอ งผู้ร้อง

Share