คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4434/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลเพราะถูกโจทก์หลอกว่าเป็นการทำเรื่องถอนฟ้อง โดยโจทก์จะเอาเงินจากจำเลยเพียง 140,000 บาท แต่ความจริงเป็นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจำเลยชำระหนี้โจทก์เป็นเงินกว่า 270,000 บาท เป็นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะถูกโจทก์ฉ้อฉล จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลเพิกถอนได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินกู้ต่อมาโจทก์จำเลยยื่นคำแถลงต่อศาลร่วมกันว่าคดีตกลงกันได้ ขอให้ศาลทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นจึงทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้แล้วมีคำพิพากษาตามยอม
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่าทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะถูกโจทก์หลอกลวงขู่เข็ญ ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยถูกโจทก์ฉ้อฉลหรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 กับนายไมตรี กัลณา นางเฉลียว โถสุวรรณ และนางเลื่อน วิไลลอยพยานจำเลยต่างเบิกความยืนยันสอดคล้องต้องกัน คำเบิกความของพยานจำเลยดังกล่าวตรงไปตรงมา ไม่ส่อพิรุธว่าได้แต่งเรื่องขึ้นโดยปราศจากมูลความจริง เพราะแม้แต่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 2 ครั้ง ครั้งแรกมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันครั้งที่สองมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยทั้งสามก็นำสืบยอมรับ ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด คำเบิกความของพยานจำเลยจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ ประกอบกับจำเลยทั้งสามเป็นชาวนาด้วยการศึกษาไม่มีทนายความให้คำแนะนำปรึกษาและไม่ทราบถึงการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล เมื่อโจทก์บอกว่าถ้าจำเลยไม่สู้คดีก็จะเอาเงินตามฟ้องเพียง 140,000 บาท และจะทำเรื่องถอนฟ้องให้จำเลยทั้งสามย่อมต้องเชื่อตามนั้น และที่จำเลยทั้งสามมาศาลก็เพื่อจะมาทำเรื่องถอนฟ้องตามที่โจทก์บอกให้ทราบ แต่เรื่องกลับเป็นว่ามาทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และภายหลังระยะเวลาห่างจากวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพียง 4 วัน จำเลยทั้งสามไปสอบถามโจทก์ว่าจะเอาเงินเท่าไร่แน่ โจทก์กลับจะเอาเงินจากจำเลยทั้งสามตามฟ้องซึ่งเป็นเงิน 272,625 บาท ไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ ฉะนั้นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสามกระทำไปเพราะถูกโจทก์ฉ้อฉล”
พิพากษายืน

Share