คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4432/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทมีสภาพเป็นที่ดินที่มีการปลูกต้นยูคาลิปตัสไว้เท่านั้นไม่มีต้นไม้อื่นหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินพิพาท ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่จำเลยและบริวารจะต้องอยู่ครอบครองตลอดเวลา เมื่อทำการปลูกต้นยูคาลิปตัสเสร็จแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมาเฝ้าดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปที่ที่ดินพิพาทเพื่อบังคับคดี ตามรายงานที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่พบจำเลยหรือบุคคลใดอยู่ในที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานบังคับคดีควรจะต้องสอบถามจำเลยหรือกระทำการอย่างใด ๆ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแน่นอน การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีรับฟังคำแถลงของผู้แทนโจทก์ซึ่งแถลงตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นชั่วขณะต่อหน้าแล้วด่วนชี้ขาดว่าทรัพย์ที่ต้องจัดการตามคำพิพากษานั้นไม่มีผู้ใดอยู่อาศัยจึงมอบการครอบครองทรัพย์นั้นให้แก่โจทก์ในทันทีไม่ต้องด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งจะให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลมีผลบังคับเด็ดขาดให้เสร็จสิ้นไป และตามรายงานเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ไปยึดทรัพย์จำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้บันทึกว่า “จำเลยได้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วยว่าตนยังไม่ได้ออกไปจากที่ดินพิพาทโดยปลูกต้นยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาท” อันแสดงให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า ตลอดเวลาจำเลยและบริวารมิได้ย้ายออกไปจากที่ดินพิพาทนี้เลย การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำบันทึกมอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ จึงเป็นการมีคำสั่งโดยผิดหลงในข้อเท็จจริง คดีจึงต้องฟังว่า จำเลยและบริวารยังมิได้ขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาทตามคำพิพากษา ตราบใดที่จำเลยและบริวารยังอยู่บนที่ดินของโจทก์ ยังมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์ย่อมขอบังคับคดีได้ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดแม้โจทก์จะเคยร้องขอบังคับคดีมาแล้วไม่เป็นผลก็ขอให้บังคับคดีใหม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท คำขออื่นให้ยก คดีถึงที่สุด จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอศาลออกหมายบังคับคดี ต่อมาผู้แทนโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยังที่พิพาทเพื่อส่งมอบการครอบครอง เจ้าพนักงานบังคับคดีได้บันทึกในรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 26 มกราคม 2543 ว่าเมื่อไปถึงพบที่ดินแปลงดังกล่าว ไม่พบจำเลยหรือบุคคลใดผู้แทนโจทก์แถลงว่า จำเลยพร้อมบริวารได้ออกไปจากที่ดินพิพาทแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้ส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่ผู้แทนโจทก์วันนี้โดยชอบแล้ว คดีแล้วเสร็จ ครั้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2543 โจทก์ยื่นคำแถลงว่า โจทก์ไม่สามารถเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้ เนื่องมาจากจำเลยและบริวารร่วมกันขัดขวางห้ามมิให้โจทก์เข้าไปในที่ดินพิพาทขอให้ศาลเรียกจำเลยมาสอบถามศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำแถลงดังกล่าวว่า “เจ้าพนักงานบังคบคดีส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้ว ไม่มีเหตุที่จะสอบถามจำเลย ยกคำแถลง” และเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2543 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกจำเลยมาสอบถามจำเลยอีก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องว่า “ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ”

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การบังคับคดีในส่วนที่ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทเสร็จสมบูรณ์แล้วหรือไม่ เห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนและภาพถ่ายท้ายคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2543 ปรากฏว่า ที่ดินพิพาทมีสภาพเป็นที่ดินที่มีการปลูกต้นยูคาลิปตัสไว้เท่านั้นไม่มีต้นไม้อื่นหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินพิพาท ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่จำเลยและบริวารจะต้องอยู่ครอบครองตลอดเวลา เมื่อทำการปลูกต้นยูคาลิปตัสเสร็จแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมาเฝ้าดูแล ตามสภาพของที่ดินพิพาท จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าบางขณะจำเลยและบริวารไม่ได้อยู่ในที่ดินพิพาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปที่ที่ดินพิพาทเพื่อบังคับดังที่ปรากฏข้อเท็จจริงตามรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 26 มกราคม 2543 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่พบจำเลยหรือบุคคลใดอยู่ในที่ดินพิพาท ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีควรจะต้องสอบถามจำเลยหรือกระทำการอย่างใด ๆ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแน่นอน การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีรับฟังคำแถลงของผู้แทนโจทก์ซึ่งแถลงตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นชั่วขณะต่อหน้าแล้วด่วนชี้ขาดว่า ทรัพย์ที่ต้องจัดการตามคำพิพากษานั้นไม่มีผู้ใดอยู่อาศัย จึงมอบการครอบครองทรัพย์นั้นแก่โจทก์ในทันที ไม่ต้องด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งจะให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลมีผลบังคับเด็ดขาดให้เสร็จสิ้นไป นอกจากนี้ได้ความตามรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 8 สิงหาคม 2543 ซึ่งผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านพักจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาอีกส่วนหนึ่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีได้บันทึกว่า”จำเลยได้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วยว่า ตนยังไม่ได้ออกไปจากที่ดินพิพาทโดยปลูกต้นยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาท” อันแสดงให้เป็นได้อย่างชัดแจ้งว่า ตลอดเวลาจำเลยและบริวารมิได้ย้ายออกไปจากที่ดินพิพาทนี้เลย การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำบันทึกมอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2543 จึงเป็นการมีคำสั่งโดยผิดหลงในข้อเท็จจริงคดีจึงต้องฟังว่า จำเลยและบริวารยังมิได้ขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาทตามคำพิพากษาตราบใดที่จำเลยและบริวารยังอยู่บนที่ดินของโจทก์ ยังมิได้ปฏิบัติตามคำบังคับโจทก์ย่อมขอบังคับคดีได้ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด แม้โจทก์จะเคยร้องขอบังคับคดีมาแล้วไม่เป็นผลก็ขอให้บังคับคดีใหม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและพิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาที่โจทก์ขอบังคับคดีแก่จำเลยต่อไป

Share