แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
+เงินชำระหนี้จำนองแทน+คำขอร้องของลูกหนี้+นั้น เป็นการจัดการตัวการ ซึ่งตัวแทน+จะเรียกเงินที่ตนชำระหนี้ไปนั้นจากลูกหนี้จำนองเป็นตัวการได้ กรณีเช่นนี้เข้าลักษณะกู้ยืม ก.ม.ที่จำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวไว้แต่ศาลชั้นต้นนั้นฎีกาไม่วินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมบิดามารดาที่จำเลยที่ ๑.๒. เป็นลูกหนี้จำนองจำเลยที่ ๓ โจทก์เป็นผู้ไล่จำนองแทนจำเลยที่ ๑.๒. โดยบิดามารดาจำเลยที่ ๑.๒. ตกลงจะขายนานั้นให้โจทก์ ครั้นต่อมา จำเลยที่ ๑.๒. สมยอมกับจำเลยที่ ๓ ยอมแต่จดทะเบียนไห้จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของนา ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญายอมความนี้ หรือไห้นาตกเป็นของโจทก์หรือมิฉะนั้นไห้จำเลยไช้เงินที่โจทก์ชำระหนี้จำนองแทนไปนั้นไห้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า รูปคดียังไม่พอฟังว่า บิดามารดาจำเลยที่ ๑.๒. ได้ตกลงขายที่ไห้โจทก์ เป็นเพียงไห้โจทก์ชำระหนี้จำนองแทนเท่านั้น โจทก์ไม่มีสิทธิบังัคับไห้โอนที่พิพาทพิพากษาไห้จำเลยที่ ๑.๒. ชำระเงินค่าไถ่จำนองไห้โจทก์ ๔๘๐ บาท
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า การที่โจทก์ออกเงินไปนั้น อนุโลมเข้าลักษณะกู้ยืมเงิน เกินกว่า ๕๐ บาท เมื่อไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาปรึกษาเห็นว่า เรื่องนี้ทางพิจารณาฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ออกเงินไถ่ที่พิพาท โดยคำร้องขอของบิดามารดาจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกเงินจากจำเลยที่ ๑.๒. ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินได้ คดีจัดเข้าอยู่ไนลักษณะตัวแทนออกเงินไปไนการกระทำกิจการของตัวการ ตาม ป.แพ่งและพาณิชย์มาตรา ๗๙๗ และ ๘๑๖ จะอนุโลมลักษณะกู้ยืมไม่ได้ เพราะไม่มีการกู้ยืมกัน ส่วนข้อที่จำเลยแก้ฎีกาว่า คดีขายอายุความนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำไห้การ จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัย พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ บังคับคดีตามศาลชั้นต้น