คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4406/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุก่อน โดยพกพาอาวุธเข้าไปในบ้านจำเลยเรียกจำเลยซึ่งอยู่ในห้องนอนให้ออกมา เมื่อจำเลยไม่ยอมออกก็ไปบังคับภริยาจำเลยให้มาเรียกให้จำเลยออกมาและท้าทายให้จำเลยออกไปต่อสู้จำเลยไม่ยอมรับคำท้าหลบเข้าไปอยู่ในห้องนอนอย่างเดิมผู้ตายจึงฉุด ภริยาจำเลยให้ไปขึ้นรถ ภริยาจำเลยไม่ยอมไป ร้องให้คนช่วย และสะบัดหลุดออกวิ่งหนี แล้วมีเสียงปืนดัง ขึ้น นัดแรกโดยผู้ตายเป็นผู้ยิง จำเลยเข้าใจว่าผู้ตายยิงภริยาจำเลย จึงเปิดหน้าต่างเพื่อจะกระโดดออกมาช่วย ผู้ตายใช้ปืนยิงไปยังจำเลยที่อยู่บนบ้าน จำเลยจึงใช้ปืนยิงโต้ตอบ กับผู้ตายกระสุนปืนถูกผู้ตายขณะที่ผู้ตายกลับไปที่รถเพื่อจะเอากระสุนปืน พฤติการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันภริยาจำเลยให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แม้ผู้ตายล้มลงแล้วจำเลยยังยิงซ้ำอีกก็เนื่องจากจำเลยต้องใช้อาวุธปืนเข้ายิงต่อสู้กับผู้ตาย ในลักษณะเช่นนั้นย่อมเป็นการยากที่จะทำให้จำเลยมีโอกาสใช้ดุลพินิจ ได้ว่าควรจะหยุดยิงเมื่อใด ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 72 จำคุก 4 ปี ของกลางริบ
โจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง อาวุธปืนลูกซองยาวเดี่ยวขนาด 12 ปลอกกระสุนเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด คืนให้เจ้าของ ของกลางอื่นนอกจากนี้ให้ริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว แม้ผู้ตายจะเคยเป็นสามีนางสดชื่นมาก่อนและมีบุตรด้วยกัน แต่ผู้ตายก็ได้จดทะเบียนหย่ากับนางสดชื่นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 ผู้ตายจึงอยู่ในฐานะเป็นบุคคลภายนอกส่วนจำเลยนั้นได้จดทะเบียนสมรสกับนางสดชื่น เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน2527 ดังปรากฏตามเอกสารหมาย ล.5 จำเลยจึงมีฐานะเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสดชื่น และอาศัยอยู่ในบ้านพักของนางสดชื่นในบริเวณวิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี โดยที่นางสดชื่นเป็นครูในวิทยาลัยดังกล่าวนางสดชื่นและจำเลยสามีจึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าของผู้ครองบ้านพักดังกล่าว
จากการนำสืบของทั้งสองฝ่ายจะเห็นได้ว่า ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุก่อน กล่าวคือพกอาวุธเข้าไปในบ้านนางสดชื่นและจำเลย เรียกให้จำเลยซึ่งอยู่ในห้องนอนให้ออกมาจากห้อง เมื่อจำเลยไม่ออก ก็ไปพานางสดชื่นแกมบังคับจากห้องเรียนให้มาที่บ้านเพื่อเรียกให้จำเลยออกมาพูดจากันทั้ง ๆ ผู้ตายอยู่ในฐานะเป็นบุคคลภายนอก ไม่มีสิทธิที่จะกระทำเช่นนั้น และการที่จำเลยยอมออกมาจากห้องภายหลังจากที่รู้ว่านางสดชื่นได้นำปืนของผู้ตายไปเก็บไว้แล้ว แสดงให้เห็นตั้งแต่เบื้องต้นว่าจำเลยมีความเกรงกลัวผู้ตาย แม้กระทั่งเมื่อผู้ตายท้าทายให้จำเลยออกไปต่อสู้ จำเลยก็ไม่ยอมรับคำท้า กลับหลบเข้าไปอยู่ในห้องนอนอย่างเดิม แสดงว่า จำเลยไม่มีความคิดที่จะต่อสู้กับผู้ตาย ทั้ง ๆที่ถูกท้าทาย จนกระทั่งเมื่อจำเลยแอบดูเห็นผู้ตายฉุดนางสดชื่นให้ไปขึ้นรถ แต่นางสดชื่นไม่ยอมไป ร้องให้คนช่วยและสะบัดหลุดจากจำเลยออกวิ่งหนี จึงมีเสียงปืนดังขึ้นนัดแรกโดยผู้ตายเป็นผู้ยิง แม้อาจจะเป็นเรื่องที่ผู้ตายยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อขู่นางสดชื่นที่วิ่งหนี แต่ก็ทำให้จำเลยเข้าใจว่าผู้ตายยิงนางสดชื่น เพราะแม้แต่นายเรวัติซึ่งกำลังเล่นฟุตบอลก็เข้าใจว่าผู้ตายยิงนางสดชื่น จำเลยจึงเปิดหน้าต่างเพื่อจะกระโดดออกมาช่วยนางสดชื่น แต่ผู้ตายเห็นเสียก่อนจึงใช้ปืนยิงไปยังจำเลยที่อยู่บนบ้านดังปรากฏรอยกระสุนในภาพถ่ายตามเอกสารหมาย จ.9 ล.1 ล.2 และ ล.3 จากนั้นจำเลยจึงได้ใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงโต้ตอบกับผู้ตาย กระสุนปืนลูกซองที่จำเลยยิงนัดหนึ่งถูกผู้ตายขณะที่ผู้ตายกลับไปที่รถเพื่อจะเอากระสุนปืน พฤติการณ์ดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันนางสดชื่นภริยาจำเลยให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
สำหรับข้อที่โจทก์ฎีกาว่า แม้ผู้ตายจะล้มลงไปแล้ว จำเลยยังตามไปใช้อาวุธปืนยิงซ้ำอีก ซึ่งความข้อนี้ จำเลยปฏิเสธว่ามิได้ใช้ปืนยิงซ้ำนั้น เห็นว่า นอกจากคำเบิกความของเด็กชายไชยานุวัฒน์แล้ว ปรากฏว่า นายเรวัติพยานโจทก์ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนว่าจำเลยได้ตามเข้าไปยิงซ้ำอีก 1 นัด ดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.6 นอกจากนั้นเมื่อพิเคราะห์รายงานชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องแล้ว ปรากฏว่าผู้ตายถูกยิงที่ขาทั้งสองข้าง กระดูกขาขวาหัก แสดงว่าผู้ตายถูกยิงที่ขาในระยะกระชั้นชิด และบริเวณเสาธงที่ผู้ตายล้มก็มีปลอกกระสุนปืนลูกซองตกอยู่ 1 ปลอก จึงน่าเชื่อว่าเมื่อผู้ตายล้มแล้วจำเลยยังยิงซ้ำอีก อย่างไรก็ดีแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ผู้ตายมีอาวุธปืนเข้าไปขู่เข็ญและใช้อาวุธปืนไล่ยิงภริยาจำเลยในบริเวณบ้านที่พักของจำเลยและภริยา จนกระทั่งจำเลยต้องใช้อาวุธปืนเข้ายิงต่อสู้กับผู้ตายในลักษณะเช่นนั้น ย่อมเป็นการยากที่จะทำให้จำเลยมีโอกาสใช้ดุลพินิจได้ว่า ควรจะหยุดยิงเมื่อใด ฉะนั้นถึงแม้จำเลยจะใช้ปืนยิงผู้ตายขณะที่ผู้ตายล้มลงแล้ว ก็น่าจะถือได้ว่าเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิด ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share