แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกโฉนดคืนจากจำเลย จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิ์ในที่พิพาทนั้นกึ่งหนึ่ง และโจทก์ให้โฉนดมาพร้อมกับใบมอบฉันทะเพื่อแบ่งให้จำเลย เมื่อโจทก์กลับใจเรียกโฉนดคืน ดังนี้จำเลยย่อมฟ้องแย้งขอให้ศาลแบ่งที่ดินให้จำเลยมาในคำให้การด้วยได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกัน
เมื่อศาลชั้นต้นบันทึกเรื่องทนายโจทก์ถามพะยานซ้ำซากจึงสั่งให้งด ทนายโจทก์มิได้คัดค้าน หรือยื่นคำแถลงคัดค้านไว้ ภายหลังทนายโจทก์จะมาคัดค้านว่า เป็นเรื่องศาลชั้นต้นห้ามทนายถามพะยานนั้น ย่อมฟังไม่ขึ้น
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยส่งคืนโฉนดให้โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินตามโฉนดนี้โจทก์จำเลยได้ปกครองร่วมกัน ยังไม่ได้แบ่ง โจทก์สอบนำเจ้าพนักงานเดินสำรวจใส่ชื่อโจทก์ผู้เดียวโดยจำเลยไม่ทราบต่อมาจำเลยทราบเรื่อง จึงเรียกเอาโฉนดมายึดไว้เพื่อป้องกันมิให้โจทก์ทำการทุจริตต่อไป โจทก์ได้ยอมตกลงแยกโฉนดที่ดินแปลงนี้ให้จำเลยครึ่งหนึ่ง และได้ทำหนังสือมอบฉันทะไปยื่นต่อเจ้าพนักงานแล้ว บัดนี้โจทก์กลับใจเรียกโฉนดคืน จึงขอให้ศาลแบ่งที่ดินให้จำเลยครึ่งหนึ่งเป็นราคา ๒๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ๒ ข้อ คือ ๑. ไม่ควรรับฟ้องแย้ง ๒. ศาลชั้นต้นห้ามทนายโจทก์ซักค้านนายทา พะยานจำเลย
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ในปัญหาข้อ ๑ ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นกรณีพิพาทกับเรื่องที่ดิน ประเด็นสำคัญจะต้องพิจารณาเรื่องสิทธิ์ในที่ดินก่อน ส่วนโฉนดเป็นหลักฐานของกรรมสิทธิ์ควรพิจารณาเป็นเรื่องเดียวกันได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวพัน โจทก์จะเถียงว่า โฉนดเป็นแผ่นกระดาษ เป็นทรัพย์อย่างอื่นนั้นไม่ได้ เพราะโฉนดในกรณีเช่นนี้เป็นเครื่องหมายแทนที่ดิน ส่วนในปัญหาข้อ ๒ ปรากฎว่า ศาลชั้นต้นได้บันทึกข้อที่ศาลสั่งห้ามทนายถามพะยานซ้ำซากนั้นไว้ซึ่งในบัดนั้นไม่ปรากฎว่า ทนายโจทก์ได้ร้องขอให้ศาลจดคำที่ตนจะถามและข้ดคัดค้าน และทั้งไม่ยื่นคำแถลงในข้อนี้เพื่อรวมสำนวนเมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีเหตุอย่างอื่นนอกจากจะต้องฟังว่าความจริงเป็นดังที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ คือเป็นเรื่องทนายถามซ้ำซาก ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ให้ถามพะยาน ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน