แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อเจ้าพนักงานและพระราชบัญญัติศุลกากร เดิมพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสะเดา ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุเป็นผู้สอบสวน ต่อมากรมตำรวจได้แต่งตั้งให้ พนักงานสอบสวนกองปราบปรามทำการสอบสวนคดีนี้แต่ฝ่ายเดียว พนักงานสอบสวนกองปราบปรามจึงติดต่อขอรับสำนวนการสอบสวน จากพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสะเดาหลายครั้ง แต่ไม่สามารถรับสำนวนการสอบสวนมาได้ ต่อมาพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสะเดากลับส่งสำนวนการสอบสวนไปยัง พนักงานอัยการโดยมีความเห็นสั่งฟ้องจำเลยที่ 1 พนักงานสอบสวนกองปราบปรามจึงติดต่อขอสำนวนการสอบสวนคืนจากพนักงานอัยการ ซึ่งขณะนั้นยังมิได้มีคำสั่งให้ฟ้องหรือไม่ฟ้อง จำเลยที่ 1 พนักงานอัยการได้คืนสำนวนการสอบสวนดังกล่าวให้แก่พนักงานสอบสวนกองปราบปรามทำการสอบสวนต่อไป โดยสอบบุคคลอื่นเป็นผู้ต้องหาอีกหลายคนซึ่งมีจำเลยที่ 2 รวมอยู่ด้วยภายหลังพนักงานอัยการได้แนะนำให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามคืนสำนวนการสอบสวน และต่อมามีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามสอบสวนเพิ่มเติมทำการสอบสวนจนเสร็จสิ้น กรณีเช่นนี้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามยังมีอำนาจทำการสอบสวนคดีนี้อยู่การสอบสวนเพิ่มเติมของพนักงานสอบสวนกองปราบปรามดังกล่าว หาขัดกับบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 139 ถึง มาตรา 143 ไม่ การสอบสวนของ พนักงานสอบสวนกองปราบปรามจึงชอบด้วยกฎหมาย และ พนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/2528)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามกับพวกได้ร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ นำสินค้าจากต่างประเทศ เข้ามาโดยมิได้ผ่านการเสียภาษีศุลกากรต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ละเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่โดยใช้อาวุธปืนขู่เข็ญ และเอาไปเสียซึ่งสินค้าหนีภาษี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘, ๑๓๙, ๑๔๐, ๑๔๒ และพระราชบัญญัติศุลกากรฯ
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘, ๑๓๙, ๑๔๐ วรรคท้าย, ๑๔๒ และ ๙๑ ให้ลงโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๐ วรรคท้าย ซึ่งเป็นบทหนัก คนละ ๖ เดือนกระทงหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ ทวิซึ่งเป็นบทหนักคนละ ๖ เดือนอีกกระทงหนึ่ง รวมจำคุกคนละ ๑ ปี ส่วนข้อหาอื่นและจำเลยที่ ๓ ให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมาย ข้อ ๒ (ข) ที่ว่าการสอบสวนคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองฎีกาว่า พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสะเดาทำการสอบสวนเสร็จสิ้นสรุปสำนวนสั่งฟ้องจำเลยที่ ๑ และพนักงานอัยการจังหวัดสงขลาสั่งสำนวนโดยยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ แล้ว พนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้ขอสำนวนการสอบสวนไปจากพนักงานอัยการจังหวัดสงขลาไปทำการสอบสวนเพิ่มเติมอีก ซึ่งเป็นการขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๓๙ ถึงมาตรา ๑๔๓ พนักงานอัยการจังหวัดสงขลาจึงสั่งให้ทำการสอบสวนเพิ่มเติมย้อนหลัง การสอบสวนของพนักงานสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย พนักงานอัยการจังหวัดสงขลาไม่มีอำนาจฟ้องอีก ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยทั้งสองนี้ ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๒ ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า เดิมพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสะเดา ซึ่งได้แก่ร้อยตำรวจเอกวิโรจน์ เลนุกูล เป็นผู้สอบสวนคดีนี้ได้สอบสวนจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ต้องหาแต่ผู้เดียวต่อมาเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๑๙ กรมตำรวจได้แต่งตั้งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามทำการสอบสวนคดีนี้แต่ฝ่ายเดียว ทางพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้รีบไปติดต่อขอรับสำนวนการสอบสวนจากร้อยตำรวจเอกวิโรจน์เพื่อจะทำการสอบสวนคดีต่อไปหลายครั้ง แต่ไม่สามารถรับสำนวนการสอบสวนมาได้ เพราะไม่พบตัวร้อยตำรวจเอกวิโรจน์อยู่ที่สถานีตำรวจ ต่อมาวันที่ ๑๔ เดือนเดียวกันพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสะเดากลับส่งสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการจังหวัดสงขลา โดยมีความเห็นสั่งฟ้องจำเลยที่ ๑ ทางพนักงานสอบสวนกองปราบปรามจึงไปติดต่อขอสำนวนการสอบสวนคืนไปจากพนักงานอัยการและทำการสอบสวนต่อไป ทั้งสองบุคคลอื่นที่เป็นผู้ต้องหาอีกหลายคนซึ่งมีจำเลยที่ ๒ รวมอยู่ด้วย ภายหลังทางพนักงานอัยการได้แนะนำให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามคืนสำนวนการสอบสวนให้แก่พนักงานอัยการไปก่อน และต่อมาพนักงานอัยการ ได้มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามสอบสวนเพิ่มเติม พนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้ทำการสอบสวนจนเสร็จสิ้นแล้วส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการ
พิเคราะห์แล้ว ตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมานั้น เมื่อพนักงานสอบสวนกองปราบปรามขอสำนวนไปจากพนักงานอัยการจังหวัดสงขลา พนักงานอัยการจังหวัดสงขลายังหาได้สั่งสำนวนโดยยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ดังที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาไม่ แม้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสะเดาทำการสอบสวนแล้วส่งสำนวนให้พนักงานอัยการจังหวัดสงขลา โดยมีความเห็นสั่งฟ้องจำเลยที่ ๑ แล้วก็ตาม แต่พนักงานอัยการจังหวัดสงขลายังมิได้มีคำสั่งให้ฟ้องหรือไม่ฟ้องผู้ต้องหาแต่อย่างใด พนักงานสอบสวนกองปราบปรามซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้มีอำนาจสอบสวนคดีนี้แต่ฝ่ายเดียวก็ขอสำนวนคืนไไปจากพนักงานอัยการจังหวัดสงขลามาทำการสอบสวนเพิ่มเติม กรณีเช่นนี้ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า พนักงานสอบสวนกองปราบปรามยังมีอำนาจทำการสอบสวนคดีอยู่การสอบสวนเพิ่มเติมของพนักงานสอบสวนกองปราบปรามหาขัดกับบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๓๙ ถึงมาตรา ๑๔๓ ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่ การสอบสวนของพนักงานสอบสวนกองปราบปรามจึงชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้วฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฎีกาเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๒๗ นั้น เป็นการล่วงเลยกำหนดเวลายื่นฎีกาแล้วศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยให้ได้
พิพากษายืน