แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัยไว้และผู้ทำละเมิดเกี่ยวข้องกับผู้เอาประกันภัยอย่างไร อันจะทำให้ผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญในเรื่องการบรรยายฟ้อง มิใช่เป็นเพียงรายละเอียดที่สามารถ นำสืบในชั้นพิจารณาได้ เมื่อโจทก์มิได้บรรยายให้เห็นว่าผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัย และ ฉ. มีความสัมพันธ์กับผู้เอาประกันภัยอย่างไรอันเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของ ฉ. จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2536นายเฉลี่ยว ปาสี ขับรถยนต์ซึ่งประกันภัยไว้กับจำเลยชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยตกลงรับรถยนต์ของโจทก์เข้าทำการซ่อมแต่จำเลยไม่จัดการซ่อมจนถึงวันฟ้อง ซึ่งหากจำเลยจัดการซ่อมแล้วควรจะแล้วเสร็จภายใน 15 วัน ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้รถยนต์ของโจทก์ไปประกอบธุรกิจตามปกติต้องเช่ารถยนต์เสียค่าเช่าวันละ 1,000 บาท แต่โจทก์ขอคิดเพียงวันละ 500 บาทนับถึงวันฟ้องเป็นเงิน 99,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยจัดการซ่อมรถยนต์ของโจทก์ให้อยู่ในสภาพเดิมแล้วส่งมอบแก่โจทก์หากไม่จัดการซ่อมให้ใช้ราคารถยนต์เป็นเงิน 200,000 บาทและให้ใช้ค่าเสียหายจำนวน 199,500 บาท และอีกวันละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะซ่อมหรือใช้ราคารถยนต์แทนเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เนื่องจากจำเลยไม่เข้าใจฟ้องโจทก์ว่า จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมกับนายเฉลียวในฐานะใดและจำเลยรับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้จากใคร เหตุใดจึงต้องรับผิด เพราะแม้จำเลยจะเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว แต่จำเลยจะต้องรับผิดก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันนั้นจะต้องรับผิดตามกฎหมายเท่านั้น และฟ้องโจทก์ในส่วนค่าเช่ารถยนต์ก็เคลือบคลุมเพราะไม่ปรากฏว่าโจทก์ประกอบอาชีพใด และเหตุใดจึงต้องเช่ารถยนต์ รถยนต์ของโจทก์เสียหายไม่เกิน 30,000 บาท จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องซ่อมรถยนต์ของโจทก์ ส่วนเหตุที่การซ่อมล่าช้าเพราะรถยนต์ของโจทก์มีสภาพเก่ามากจนไม่สามารถหาอะไหล่ได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยซ่อมรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6 ธ-3920 กรุงเทพมหานคร ให้อยู่ในสภาพเดิมแล้วส่งมอบแก่โจทก์ มิฉะนั้นให้ใช้ราคา 40,000 บาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 6,000 บาท นับแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2536จนกว่าจะส่งมอบหรือใช้ราคารถยนต์แทนแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยรับผิดเนื่องจากจำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 83-5387กรุงเทพมหานคร ที่นายเฉลียว ปาสีขับโดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย และจำเลยตกลงรับรถยนต์ของโจทก์ไปซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิมตามที่จะต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยตามใบรับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ปรากฏว่าเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าว มีข้อความว่า รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายให้นำมาตรวจสอบความเสียหายและตกลงจะระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้น ไม่มีข้อความที่จำเลยจะรับผิดชอบหรือมีลักษณะเป็นการประนีประนอมยอมความแต่อย่างใดใจความตามคำฟ้องจึงสรุปได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้นคือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่าผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอก ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัยไว้และผู้ทำละเมิดเกี่ยวข้องกับผู้เอาประกันภัยอย่างไร อันจะทำให้ผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญในเรื่องการบรรยายฟ้อง มิใช่เป็นเพียงรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ เมื่อโจทก์มิได้บรรยายให้เห็นว่าผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัยและนายเฉลียวมีความสัมพันธ์กับผู้เอาประกันภัยอย่างไรอันจะเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของนายเฉลียว จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน