คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ใช้ขวานพกเล็กๆฟันศีรษะ 1 ที แผลเล็กน้อย ถ้ารักษาตามวิชาแพทย์แผนปัจจุบันก็ไม่ทำให้ถึงตายได้ แต่โดยเหตุที่ปล่อยแผลไว้สกปรกจึงเกิดหนองและเป็นพิษขึ้นตายใน 3 วันเป็นความผิดฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนา

ย่อยาว

คดีเรื่องนี้โจทก์ฟ้องกล่าวความว่า เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2498เวลากลางวัน จำเลยบังอาจใช้ขวานเป็นสาตราวุธฟันนายลาแมถูกศีรษะ 1 ที ถึงบาดเจ็บสาหัส โดยเจตนาจะฆ่าให้ตาย ครั้นวันที่ 9 มีนาคม 2498 เวลากลางวัน นายลาแมได้ถึงแก่ความตายด้วยพิษบาดแผลนั้นเหตุเกิดที่ตำบลสาวอ อำเภอลือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249

จำเลยให้การต่อสู้ว่า นายลาแมผู้ตายขึ้นไปบนเรือนของจำเลยและทำการลวนลามจับมือถือนมนางลิเมาะพี่สาวของจำเลย จำเลยเห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเฉพาะหน้า จึงเข้าไปถามพฤติการณ์ที่นายลาแมข่มเหงพี่สาว แต่นายลาแมกลับเงื้อขวานขึ้นจะฟันจำเลย จำเลยจึงฟันไปก่อนเพื่อป้องกันตนเอง เพียง 1 ที เท่านั้น ไม่เกินกว่าเหตุ และบาดแผลเพียงเล็กน้อยไม่ถึงแก่ความตายได้ แต่นายลาแมไม่รักษาบาดแผลจึงเกิดการตายขึ้น

ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาแล้ว เห็นว่า นายลาแมเป็นฝ่ายก่อเหตุกระทำอนาจารแก่พี่สาวของจำเลย จำเลยไปต่อว่า นายลาแม กลับเงื้อขวานจะฟันจำเลย จำเลยจึงใช้ขวานฟันไปเพียงทีเดียวเองขาก็เป็นง่อย รูปร่างเล็กกว่านายลาแม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ไม่ต้องรับโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 50 จึงพิพากษาให้ยกฟ้องของโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยไม่ได้เห็นเหตุการณ์ต่อหน้าว่านายลาแมได้กระทำอนาจารต่อพี่สาว เพียงแต่พี่สาวบอก จำเลยก็ติดตามไปฟันนายลาแมทางข้างหลัง โดยมิได้มีการต่อสู้อะไรกัน และไม่ใช่เรื่องป้องกันตัวแต่อย่างใด การที่จำเลยใช้ขวานซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงฟันนายลาแมทางข้างหลังโดยแรงลงบนศีรษะ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญถึงกระดูกกระโหลกศีรษะแตก เพียง 3 วัน นายลาแมก็ถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลนั้น ได้ชื่อว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าให้ตาย แต่จำเลยทำร้ายนายลาแมเพราะนายลาแมลวนลามทำอนาจารแก่พี่สาวของจำเลยน่าเห็นใจจำเลยอยู่บ้าง ควรลงโทษจำเลยในสถานเบา จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 ให้ลงโทษจำคุกมีกำหนด 15 ปี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว

ทางพิจารณาคดีโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2498 เวลา 9.00 นาฬิกา นายลาแมเข้าไปนั่งกินน้ำชาอยู่ในร้านของนายอุเซ็งมีนายอุเซ็ง นายมะ นางแมะแย และนายเปาะจิ นั่งรวมอยู่ด้วยที่โต๊ะเดียวกัน สักครู่จำเลยเดินเข้ามาในร้านนี้ พอผ่านที่ที่นายลาแมนั่ง ก็ใช้ขวานฟันศีรษะนายลาแม 1 ที ทางด้านหลัง ถูกที่ท้ายทอยด้านขวา แล้ววิ่งหนีไป

บาดแผลของนายลาแม ปรากฏตามรายงานการขันสูตรพลิกศพว่า ยาว 3 เซ็นติเมตร กว้าง 6 เซ็นติเมตร ลึก 1.2 เซ็นติเมตร กระดูกกระโหลกศีรษะแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ อยู่ในแผล ไม่ได้ทำความสอาดบาดแผลจึงเกิดเป็นพิษขึ้น และทำให้ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่9 มีนาคม 2498 เวลา 11.00 นาฬิกา

จำเลยนำสืบว่า ตอนเช้าวันเกิดเหตุ จำเลยไม่ได้อยู่บ้าน พอกลับมานางลิเมาะพี่สาวบอกว่า นายลาแมมาจับนมปลุกปล้ำที่บนเรือนนายหิยามาช่วย นายลาแมจึงวิ่งหนีไปทางร้านนายอุเซ็ง จำเลยก็ตามไปต่อว่า นายลาแมว่าเปล่าไม่ได้ทำ แล้วกลับผุดลุกขึ้นเงื้อขวานจะฟันจำเลย จำเลยถอยหลังแล้วชักขวานจากเอวเหวี่ยงไปถูกนายลาแมที่ท้ายทอย 1 ที่เป็นแผลเล็กน้อย

ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ถ้อยคำพยานของทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่านายเปาะจิและนายมะเบิกความประกอบกันยืนยันแน่ชัดว่า ไม่ได้มีการโต้เถียงอะไรกันก่อนเลย จำเลยเข้าฟันทางข้างหลัง ขณะนายลาแมกำลังนั่งอยู่ แล้วก็วิ่งหนีไป พยานไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายใดไม่เห็นมีเหตุอันควรสงสัยประการใด

ที่จำเลยต่อสู้ในทำนองป้องกันตัว นั้น ตามคำให้การของจำเลยรูปเรื่องเป็นเชิงจำเลย เห็นนายลาแมกระทำอนาจารพี่สาวของตนต่อหน้าจึงเข้าต่อว่าและฟันกันบนเรือนของจำเลยนั้นเอง ชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่า ต่อว่าและฟันกันที่ถนนหลวง ชั้นศาลจำเลยกลับว่าพี่สาวบอกเรื่องจึงตามไปต่อว่าที่ร้านขายน้ำชาของนายอุเซ็งและเกิดเหตุที่นั่น การต่อสู้คดีของจำเลยเรรวนไม่มีความแน่นอนประการใดเลย มิหนำซ้ำนายลาแมถูกฟันที่ท้ายทอยด้านขวา ถ้าเป็นการยืนเผชิญหน้ากันอยู่ดังที่จำเลยต่อสู้มานั้น บาดแผลก็ควรอยู่ทางด้านหน้า ไม่น่าจะไปถูกทางท้ายทอยด้านขวาได้อย่างไร จึงรับฟังไม่ได้ในเรื่องป้องกันตัว ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้ว

บาดแผลของนายลาแมปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพว่า ยาว 3 เซ็นติเมตร กว้าง 6 เซ็นติเมตร ลึก 1.2 เซ็นติเมตร (ความกว้างและยาวน่าจะบันทึกสลับกันไป) ที่ศีรษะ ด้านขวา ไม่ปรากฏว่าตอนใดแน่ชัด แต่ตามคำพยานที่นำสืบรับกันว่าที่ท้ายทอยนายประสิทธิ์พยานโจทก์เป็นแพทย์ผู้ชันสูตรบาดแผลให้การยืนยันว่าบาดแผลเช่นนี้ถ้าได้รักษาตามวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่ทำให้ถึงตายได้การตายรายนี้เป็นโดยปล่อยแผลไว้ให้สกปรก ไม่ได้ทำการชำระล้างให้สะอาด มีเศษผม เศษกระดูก ตกค้างอยู่ในบาดแผลทำให้เกิดเชื้อหนองขึ้น หนองไหลออกจากแผลไม่ได้ ก็ซึมกลับเข้าไปข้างในเลยกลายเป็นพิษ จึงได้ทำให้ถึงแก่ความตาย เพียงแต่กระดูกกระโหลกศีรษะแตก และไม่ถึงมันสมองไหลก็ไม่ถึงแก่ความตายดังนี้ ประกอบคำให้การของนายวาเยาะ ผู้ใหญ่บ้านที่ได้ไปเห็นบาดแผลของนายลาแมในทันทีเมื่อเกิดเหตุแล้ว ก็รับรองว่าเป็นบาดแผลเล็กน้อย ไม่ถึงตายแม้แต่นายมะและนายวาซิมะเด็ง กำนันพยานโจทก์ก็ว่าบาดแผลเท่าที่เห็นเข้าใจว่าไม่ถึงแก่ความตาย จึงรับฟังได้แน่ชัดว่า บาดแผลที่จำเลยฟันนั้นเป็นบาดแผลเล็กน้อยไม่ทำให้ถึงตายหากแต่นายลาแมปล่อยแผลให้สกปรก ไม่ได้ทำการชำระล้างให้สะอาดจนเกิดเป็นหนองในแผล แล้วกลายเป็นพิษขึ้น จึงได้ทำให้ถึงแก่ความตาย

ตามทางพิจารณาปรากฏว่า จำเลยเป็นคนพิการ ขาขวาเป็นง่อยเดินไม่ปกติ เป็นคนเรียบร้อย ไม่เคยเกะกะระรานใคร เหตุที่จะเกิดการทำร้ายรายนี้ เนื่องมาจากนายลาแม ผู้ตายไปปลุกปล้ำทำอนาจารพี่สาวของจำเลยถึงบนเรือน จำเลยทราบเรื่องจากพี่สาวจึงมีความแค้นเคืองและได้ไปทำร้ายนายลาแม ดังนั้น ขวานที่จำเลยใช้ฟันยาวทั้งด้ามทั้งตัวประมาณ 1 คืบเศษ บาดแผลยาวเพียง 6 เซ็นติเมตรเข้าใจว่าเป็นขวานพกเล็ก ๆ จำเลยฟันเพียงทีเดียว ไม่ได้ทำร้ายซ้ำเติมอีก บาดแผลเท่าที่ปรากฏก็เป็นแผลเล็กน้อย ไม่ทำให้ถึงตายถูกฟันแล้ว นายลาแมไปไหนก็ไปได้ตามลำพัง นายมะ พยานโจทก์ยังเห็นนายลาแมไปเที่ยวที่ตลาดดังนี้เป็นต้น เหตุผลทั้งหลายเหล่านี้ประกอบกันกระทำให้เห้นได้ว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจะฆ่าให้ตายจึงควรมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาเท่านั้น

เหตุฉะนี้ ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 251 ตอนต้น ให้ลงอาญา จำคุก 5 ปี นับแต่วันต้องขังไป

Share