คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คณะกรรมการได้ทำการสอบสวนและสรุปผลการสอบสวนเสนออธิบดีกรมการแพทย์เมื่อปลายเดือนเมษายน 2528 ว่าจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ต้องถือว่ากรมการแพทย์โจทก์รู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน2528 แม้อธิบดีกรมการแพทย์จะยังไม่ได้พิจารณาเรื่องราวตามสำนวนการสอบสวนในวันดังกล่าว แต่ได้ลงนามในรายงานการสอบสวนและมีคำสั่งเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2528 ก็หามีผลทำให้การรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์เปลี่ยนแปลงไปไม่ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2529 จึงเกิน 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ตัวว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ทำละเมิดต่อโจทก์คดีโจทก์จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 รับราชการในสังกัดของโจทก์ โดยดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี ฝ่ายบัญชีกองคลังส่วนจำเลยที่ 2 รับราชการในสังกัดของโจทก์ โดยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองคลัง และเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 2 ให้เป็นผู้ดูแลและติดตามผลการดำเนินคดีฟ้องเรียกร้องหนี้เงินทุน จากนายเผด็จ วรรธนะสาร และนายถนอม วรรธนะสาร กรณีนายเผด็จทำสัญญารับทุนไปศึกษาที่ประเทศแคนาดาไว้กับโจทก์ โดยมีนายถนอมเป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันความรับผิดในการชดใช้ทุนคืนให้ไว้กับโจทก์แล้ว ต่อมานายเผด็จผิดสัญญาไม่กลับมารับราชการตามสัญญา และขอลาออกจากราชการไปซึ่งนายเผด็จและนายถนอมจะต้องรับผิดชอบตามสัญญาใช้เงินทั้งหมดที่รัฐบาลแคนาดาให้ทุนจ่ายให้แก่นายเผด็จในการเดินทางไปศึกษาที่ประเทศแคนาดา โจทก์ได้มอบให้กรมอัยการดำเนินการฟ้องนายถนอมให้รับผิดชดใช้เงินตามสัญญาค้ำประกัน โดยยังไม่ได้ฟ้องนายเผด็จ ศาลฎีกาได้พิพากษาคดียกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม กรมอัยการได้มีหนังสือแจ้งผลคดีชั้นศาลฎีกาให้โจทก์ทราบ ลงวันที่ 27 กันยายน 2521 และในเดือนกันยายน 2521นั้นเอง จำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือแจ้งผลคดีในชั้นฎีกาของกรมอัยการแล้ว จำเลยที่ 2 ได้ส่งหนังสือแจ้งผลคดีดังกล่าวให้จำเลยที่ 1ดำเนินการ โดยจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องพิจารณาดำเนินการมีความเห็นและเสนอเรื่องราวรายละเอียดผลคดีชั้นฎีกาให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น จนถึงอธิบดีกรมการแพทย์ทราบตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ แต่จำเลยทั้งสองมิได้ปฏิบัติตามหน้าที่ดังกล่าว จำเลยทั้งสองเสนอเรื่องราวผลการดำเนินคดีชั้นฎีกาให้โจทก์ทราบภายหลังจากคดีขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับการชดใช้เงินทุนจากนายถนอมและนายเผด็จ โจทก์ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบและชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง และโจทก์ได้รู้ตัวผู้ทำละเมิดและผู้ที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายคือจำเลยทั้งสอง โดยรู้จากรายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการดังกล่าว เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2528 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 247,943.01 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการควบคุมดูแลเรื่องราวการดำเนินคดีและจำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 2ให้เป็นผู้ดูแลและติดตามผลการดำเนินคดีฟ้องเรียกหนี้จากนายเผด็จและนายถนอมตามที่ได้ทำสัญญาไว้กับโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่จะต้องเสนอเรื่องราวรายละเอียดผลคดีตามลำดับชั้นจนถึงอธิบดีกรมการแพทย์ ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่านายเผด็จผู้รับทุนได้กระทำผิดสัญญาต่อโจทก์เมื่อใดฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา448 วรรคแรก บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่า ขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่ง นับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันทำละเมิด” ตามข้อเท็จจริงแห่งคดีนี้ นายกมล สินธวานนท์ อธิบดีกรมการแพทย์ในขณะนั้นได้ทราบว่าการที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น โจทก์ย่อมฟ้องใหม่ได้ในคดีที่กรมการแพทย์เป็นโจทก์ฟ้องนายถนอม วรรธนะสาร เป็นจำเลยภายในอายุความ แต่คดีดังกล่าวขาดอายุความแล้วประมาณ 2 ปีก่อนที่นายกมลจะทราบเรื่อง ถือได้ว่ากรมการแพทย์ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการที่นายกมลมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งตามคำสั่งเอกสารหมาย จ.21นั้น เพื่อให้คณะกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเพื่อรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน คณะกรรมการสอบสวนที่กรมการแพทย์แต่งตั้งขึ้นย่อมเป็นเสมือนเครื่องมือที่จะพิจารณาหาความรู้นั้นมาเสนอเมื่อคณะกรรมการสอบสวนซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือหาความรู้ในการนั้นโดยเฉพาะได้รายงานให้กรมการแพทย์ทราบในวันใดว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ซึ่งจะต้องรับผิดในทางแพ่งก็ต้องย่อมถือเอาวันนั้นเป็นวันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน นายณรงค์อธิบดีกรมการแพทย์เบิกความว่า คณะกรรมการได้ทำการสอบสวนและสรุปผลการสอบสวนเสนอต่ออธิบดีกรมการแพทย์เมื่อประมาณปลายเดือนเมษายน 2528 ก็ต้องถือว่ากรมการแพทย์ผู้ต้องเสียหายรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน 2528 แม้นายณรงค์จะยังไม่ได้พิจารณาเรื่องราวตามสำนวนการสอบสวนในวันดังกล่าว แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่ากรมการแพทย์ซึ่งนายณรงค์เป็นผู้แทนนิติบุคคลอยู่ในขณะนั้นยังไม่รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่คณะกรรมการสอบสวนได้พิจารณามาแล้วและรายงานให้ทราบ การที่นายณรงค์ลงนามในรายงานการสอบสวนและมีคำสั่งในเอกสารหมาย จ.29 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2528หามีผลทำให้การรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์เปลี่ยนแปลงไปไม่ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่2 พฤษภาคม 2529 จึงเป็นเวลาเกิน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ตัวว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ทำละเมิดต่อโจทก์ คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share