แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส. แต่ไม่มีเจตนาฆ่า. โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนา. ถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยให้หนักขึ้นอยู่ในตัว. ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้.ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้ปืนตีและใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายโดยเจตนาจะฆ่าขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ในชั้นต้นจำเลยให้การปฏิเสธ แต่ได้กลับให้การรับสารภาพในภายหลัง เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยใช้ไม้ตีและใช้มีดแทงผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีเจตนาจะฆ่า ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ให้จำคุก 1 ปี ลดโทษตามมาตรา 78คงจำคุก 8 เดือน โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย แต่ถือว่าจำเลยทำผิดล่วงเกินญาติผู้ใหญ่อย่างร้ายแรง และคำรับสารภาพของจำเลยก็เป็นการรับโดยจำนนต่อพยาน และไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาพิพากษาแก้เป็นให้จำคุกจำเลย 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคน เมื่อข้อเท็จจริงมิได้ความว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าศาลอุทธรณ์ต้องพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจะพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยไม่ได้นั้น การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนา ถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยให้หนักขึ้นอยู่ในตัวศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้จึงไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212.