คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4358/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศ.กับจำเลยทำสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินไว้ในระหว่างเป็นสามีภรรยากันว่า ศ.จะไม่นำเอาสินบริคณห์ใด ๆ ทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรือจะมีขึ้นในอนาคตไปจำหน่ายหรือทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ในการอุปการะเลี้ยงดูครอบครัวและการศึกษาของบุตรอันเกิดจากจำเลย จะไม่เกี่ยวข้อง สร้างภาระผูกพัน หรือเรียกร้องสิทธิใด ๆ ในทรัพย์สินซึ่งมีชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากจำเลย สัญญาดังกล่าวไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน คู่สัญญามีอำนาจกระทำได้เพียงแต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิบอกล้างในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันทั้งการทำสัญญาจำกัดสิทธิบางอย่างในระหว่างกันเองในเรื่องทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของครอบครัวด้วยความสมัครใจและการสละทรัพย์สินให้แก่กันในระหว่างสามีภริยาด้วยความสมัครใจ ก็ไม่เป็นการขัดกับบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 114และเป็นการใช้สิทธิโดยชอบตามมาตรา 1336 จึงเป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมายใช้บังคับได้ ทรัพย์พิพาทมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ซึ่งตามสัญญาระหว่างศ.กับจำเลยระบุว่าศ.จะไม่เข้าเกี่ยวข้องหรือเรียกร้องสิทธิใด ๆ ในทรัพย์สินซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ถือได้ว่า ศ.ได้สละกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทให้แก่จำเลยแล้วทรัพย์พิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลย ศ.ไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ใดและไม่เป็นมรดกของ ศ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งเป็นมรดกของนายศรีสุเทพ ให้แก่โจทก์ผู้เป็นผู้จัดการมรดกเพื่อแบ่งให้แก่ทายาทผู้รับพินัยกรรมต่อไป จำเลยให้การว่านายศรีสุเทพได้ทำสัญญาระหว่างสมรสไว้กับจำเลยว่าจะไม่เกี่ยวข้องเรียกร้องสิทธิหรือสร้างภาระผูกพันเกี่ยวกับสินบริคณห์ ทรัพย์ดังกล่าวจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลย นายศรีสุเทพ จะทำพินัยกรรมยกให้ผู้อื่นไม่ได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาว่า สัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินที่นายศรีสุเทพกับจำเลยทำไว้ในระหว่างเป็นสามีภริยาตามเอกสารหมาย ล.8 เป็นโมฆะหรือไม่ สัญญาดังกล่าวระบุว่า”…ระหว่างนายศรีสุเทพ รอดริปู(สามี) ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่าคู่สัญญาที่ 1 กับนางสราญ รอดริปู (ภริยา) ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่าคู่สัญญาที่ 2 โดยมีข้อความสัญญาดังต่อไปนี้
1. คู่สัญญาที่ 1 จะไม่นำเอาสินบริคณห์ใด ๆ ทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือจะมีขึ้นในอนาคตไปจำหน่ายหรือทำนิติกรรมใด ๆ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ในการอุปการะเลี้ยงดู รักษาพยาบาลครอบครัวและการศึกษาของบุตร (อันเกิดจากคู่สัญญาที่ 2)
2. คู่สัญญาที่ 1 จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องสร้างภาระผูกพันหรือเรียกร้องสิทธิใด ๆ ในทรัพย์สินที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรือจะมีขึ้นในอนาคต ซึ่งมีชื่อของคู่สัญญาที่ 2 มีกรรมสิทธิ์อยู่
3. อย่างไรก็ตามสัญญาในข้อที่ 1 และ 2 ย่อมเป็นอันใช้ไม่ได้ถ้าหากคู่สัญญาที่ 2 ให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย
เห็นว่าข้อสัญญาทั้ง 3 ข้อ ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 คู่สัญญามีอำนาจกระทำได้ เพียงแต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิบอกล้างในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยา ทั้งการทำสัญญาจำกัดสิทธิบางอย่างในระหว่างกันเองในเรื่องทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของครอบครัวด้วยความสมัครใจก็ดีการสละทรัพย์สินให้แก่กันในระหว่างสามีภริยาด้วยความสมัครใจก็ดีก็ไม่เป็นการขัดกับบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามมาตรา 114 และเป็นการใช้สิทธิโดยชอบตามมาตรา 1316 สัญญาตามเอกสารหมาย ล.8 จึงเป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมายใช้บังคับได้
มีปัญหาต่อไปว่า ทรัพย์พิพาทเป็นมรดกของนายศรีสุเทพหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าทรัพย์พิพาททั้งหมดมีชื่อจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และตามสัญญาเอกสารหมาย ล.8ข้อ 2 ระบุว่านายศรีสุเทพจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือเรียกร้องสิทธิใด ๆ ในทรัพย์สินที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือจะมีขึ้นในอนาคต ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ข้อสัญญาดังกล่าวนี้ถือได้ว่านายศรีสุเทพได้สละกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทให้แก่จำเลยแล้วและนายศรีสุเทพไม่เคยบอกล้างสัญญาดังกล่าว ทรัพย์พิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลย นายศรีสุเทพไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกทรัพย์พิพาทให้แก่ผู้ใด และทรัพย์พิพาทไม่เป็นมรดกของนายศรีสุเทพ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share