คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4354/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟ้องคดีของโจทก์เป็นการใช้สิทธิในการเรียกร้องเพื่อบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้คืนอันเนื่องมาจากกิจการเงินทุนที่ได้ดำเนินการไว้ตั้งแต่โจทก์ยังไม่ได้ถูกระงับใบอนุญาต มิใช่เป็นการประกอบกิจการเงินทุนขึ้นใหม่ภายหลังโจทก์ถูกระงับใบอนุญาตโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์เป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนระบุวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจประเภท “เงินทุน” ในเมืองฮ่องกง ซึ่งปกติคำว่า”เงินทุน” มีความหมายมิได้จำกัดเพียงการกู้ยืมหรือรับฝากเงินเท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่า คำดังกล่าวมีความหมายพิเศษตามบทกฎหมายแห่งเมืองที่โจทก์จดทะเบียนไว้นั้นระบุจำกัดไว้ดังกล่าว ประกอบกับการที่โจทก์รับดำเนินการซื้อสินค้าแทนจำเลยทั้งสองนั้นเป็นการกระทำที่มุ่งหมายผลในจำนวนเงินที่ใช้ในการซื้อสินค้าแทนนั้นมาเป็นหลักแห่งหนี้สินซึ่งเป็นตัวเงิน และโจทก์ได้ผลประโยชน์จากดอกเบี้ยอันเกิดจากตัวเงินดังกล่าวนี้ จึงมีลักษณะเป็นกิจการเงินทุนอย่างหนึ่งการซื้อสินค้าแทนดังกล่าวจึงเป็นเพียงวิธีการดำเนินการเพื่อบริการจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกค้าในการก่อหนี้ที่เป็นกิจการเงินทุนตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ หาใช่เป็นเรื่องตัวการตัวแทนอันเป็นการกระทำผิดวัตถุประสงค์ของโจทก์ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้คืนอันเนื่องมาจากกิจการเงินทุนของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการเกี่ยวกับเงินทุนหลักทรัพย์ตามกฎหมายของเมืองฮ่องกงจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์กับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ตกลงทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดต่อกัน โดยโจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1เปิดบัญชีเลขที่ เอช.5 กับโจทก์ แต่ใช้ชื่อจำเลยที่ 2 ผู้กระทำการแทนจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของบัญชี เพื่อให้จำเลยทั้งสองหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 มาเบิกเงินจากโจทก์หรือมีคำสั่งให้โจทก์ชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกแทนจำเลยทั้งสองหรือมีคำสั่งให้โจทก์ซื้อสินค้าให้จำเลยทั้งสอง และเมื่อชำระเงินไปแล้วโจทก์จะนำจำนวนเงินที่ชำระไปมาลงไว้ในบัญชีเลขที่ เอช.5ในช่องลูกหนี้ ซึ่งเมื่อจำเลยทั้งสองนำเงินมาชำระหนี้ โจทก์จะนำจำนวนเงินมาลงไว้ในบัญชีเดียวกันในช่องเจ้าหนี้ หักกลบลบหนี้กันเหลือเท่าใดใส่ไว้ในช่องหนี้คงค้างเมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนหรือครบตามกำหนดระยะเวลาที่ตกลงกัน หรือเมื่อโจทก์เห็นสมควรหากจำเลยทั้งสองชำระหนี้ไม่ครบก็จะยกยอดใส่ไว้ในเดือนถัดไปในการนี้จำเลยทั้งสองยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของจำนวนหนี้คงค้างได้ เมื่อระหว่างวันที่ 21 ตุลาคม 2518 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2527 จำเลยทั้งสองได้เดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์ตลอดมา และเป็นหนี้คงค้างต่อโจทก์เป็นต้นเงิน 1,362,488.50เหรียญฮ่องกง เป็นดอกเบี้ย 21,605.61 เหรียญฮ่องกง เมื่อวันที่11 เมษายน 2528 โจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยทั้งสองและเรียกให้ชำระหนี้ดังกล่าว แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 4,065,076.83 บาท และเงินดอกเบี้ยจำนวน 1,151,006.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 4,554,117.80 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด และประกอบกิจการเกี่ยวกับเงินทุนหลักทรัพย์ตามกฎหมายของเมืองฮ่องกงการที่โจทก์สะพัดเงินตราจึงอยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์ โจทก์ถูกถอนใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจและถูกถอนชื่อออกจากการเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของเมืองฮ่องกง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยทั้งสองไม่ได้ทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์และไม่มีหนี้สินต่อกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 4,554,117.80 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2527 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 6,016,775.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 4,544,117.81 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาอำนาจฟ้องที่จำเลยทั้งสองฎีกาในข้อที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าโจทก์ถูกระงับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการเงินทุนแล้วนั้น เห็นว่าการฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นการใช้สิทธิในการเรียกร้องเพื่อบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้คืนอันเนื่องมาจากกิจการเงินทุนที่ได้ดำเนินการไว้ตั้งแต่โจทก์ยังไม่ได้ถูกระงับใบอนุญาต มิใช่เป็นการประกอบกิจการเงินทุนขึ้นใหม่ ส่วนข้อที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า โจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจประเภทเงินทุนซึ่งหมายความว่าบริการให้กู้ยืมหรือรับฝากเงินเท่านั้น การที่จำเลยสั่งซื้อสินค้าโดยให้โจทก์เป็นผู้ซื้อแล้วนำเอาจำนวนเงินที่ชำระไปแล้วไปลงบัญชีว่าจำเลยเป็นลูกหนี้นั้น เป็นเรื่องตัวการตัวแทนจึงเป็นการกระทำผิดวัตถุประสงค์ของโจทก์นั้น เห็นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนระบุวัตถุประสงค์ในเมืองฮ่องกง วัตถุประสงค์ที่ปรากฏเป็นภาษาต่างประเทศ แปลได้ความว่า “เงินทุน” ซึ่งปกติมีความหมายมิได้จำกัดเพียงการกู้ยืมตามที่จำเลยอ้างเท่านั้น และก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า คำดังกล่าวมีความหมายพิเศษตามบทกฎหมายแห่งเมืองที่โจทก์จดทะเบียนไว้นั้นระบุจำกัดไว้เช่นที่จำเลยทั้งสองอ้างประกอบกับการที่โจทก์รับดำเนินการซื้อสินค้าแทนจำเลยทั้งสองนั้นเป็นการกระทำที่มุ่งหมายผลในจำนวนเงินที่ใช้ในการซื้อสินค้าแทนนั้นมาเป็นหลักแห่งหนี้สินซึ่งเป็นตัวเงิน และโจทก์ได้ผลประโยชน์จากดอกเบี้ยอันเกิดจากตัวเงินดังกล่าวนี้จึงมีลักษณะเป็นกิจการเงินทุนอย่างหนึ่ง การซื้อสินค้าแทนดังกล่าวจึงเป็นเพียงวิธีการดำเนินการเพื่อบริการจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกค้าในการก่อหนี้ที่เป็นกิจการเงินทุนตามวัตถุประสงค์ของโจทก์นั่นเอง และสำหรับข้อที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามกฎหมายของเมืองฮ่องกงต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้นเป็นข้อที่จำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้และก็มิได้นำสืบให้ปรากฏตามที่อ้าง ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรวินิจฉัยให้ ฎีกาจำเลยในประเด็นอำนาจฟ้องนี้จึงฟังไม่ขึ้นทุกข้อคดีรับฟังได้ความตามที่จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2มิได้เปิดบัญชีและเป็นหนี้โจทก์ตามที่โจทก์ฟ้อง ส่วนบรรดาหนี้สินที่เกิดจากบัญชีเดินสะพัดตามฟ้องในชื่อของจำเลยที่ 2 นั้น เป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้กระทำแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1
สำหรับฎีกาจำเลยทั้งสองในปัญหาเกี่ยวกับจำนวนหนี้สินและดอกเบี้ยตามเอกสารที่โจทก์อ้างส่งและนำสืบ กับเหตุต่าง ๆ ที่อ้างว่าไม่ต้องรับผิดนั้นเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามเอกสารหลักฐานดังกล่าวจริงข้อฎีกาดังกล่าวของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยต่อไปยกเว้นข้อที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องนั้นปรากฏตามคำฟ้องโจทก์ว่า จำนวนดอกเบี้ยดังกล่าวโจทก์ได้คิดถึงวันฟ้องอยู่แล้วจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 6,016,775.21บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 4,554,117.01บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2

Share