แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องเข้ามาเพื่อขอให้ได้รับความคุ้มครองสิทธิในการรับมฤดกของผู้ร้องตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 57 (1) ซึ่งบัญญัติให้บุคคลที่ 3 ไดรับความคุ้มครองสิทธิของตนที่มีอยู่โดยทันที ไม่จำต้องฟ้องคดีหลายเรื่อง และไม่จักต้องได้รับความยินยอมจากคู่ความ เช่นอนุมาตรา 2 แม้+จะคัดค้านศาลก็สั่งอนุญาตได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการมฤดกและผู้รับมฤดกของภริยาผู้วายชนม์ ผู้ร้องสอด ผู้เป็นมารดาผู้ตายร้องสอดว่า โจทก์จำเลยสมยอมสร้างหนี้สินขึ้นโดยไม่เป็นความจริง ทำให้ผู้ร้องสอดเสียหาย เนื่องจากผู้ร้องสอดกำลังฟ้องจำเลยเรียกทรัพย์มฤดกรายนี้อยู่ ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องสอดเสีย แล้วดำเนินคดีไปพิพากษาให้จำเลยในส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการและรับมฤดกนางเลี๊ยบ ใช้ต้นเงินและดอกเบี้ย+โจทก์ตามฟ้องดังนี้ เมื่อผู้ร้องสอดอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นขึ้นมา ศาลสูง+อำนาจยกคำสั่งและคำพิพากษาศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปความได้ ตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 243(1).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยในส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการ และผู้รับมฤดกของนางเลี๊ยบภรรยาผู้วายชนม์ โดยกล่าวว่า ก่อนนางเลี๊ยบวายชนม์ จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปใช้จ่ายอุปการะในครอบครัว นางเลี๊ยบวายชนม์ จำเลยเป็นผู้รับและจัดการมฤดก
ก่อนจำเลยยื่นคำให้การ นางคล่ำได้ร้องสอดอ้างว่า ผู้ร้องได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้เรียกทรัพย์มฤดกนางเลี๊ยบผู้เป็นบุตรของผู้ร้องจากจำเลย โจทก์จำเลยสมยอมสร้างหนี้สินขึ้นโดยไม่เป็นความจริง จึงขอเข้ามาเป็นจำเลยเพื่อสู้คดีกับโจทก์
โจทก์ยื่นคำคัดค้าน
ชั้นแรก ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยได้ และให้ผู้ร้องสอดยื่นคำให้การ ครั้งถึงวันนัด จำเลยคัดค้านอีก ศาลชั้นต้นจึงสั่งว่า เมื่อจำเลยคัดค้านผู้ร้องสอดเช่นนี้ จะดำเนินคดีไปในทางที่สั่งไว้เดิมจะยุ่งยากในทางวินิจฉัยคดี จึงให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอดเสีย ถ้ายังติดใจก็ให้ฟ้องเป็นคดีใหม่เข้ามา
ส่วนในทางดำเนินคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องหนี้สินนั้น จำเลยให้การรับว่าได้กู้เงินโจทก์มาจริงดังฟ้องทุกประการ ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาให้จำเลยในส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการและรับมฤดกนางเลี๊ยบ ใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์ตามฟ้อง
นางกล่ำผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ยกอุทธรณ์ของนางกล่ำผู้ร้องเสีย
นางกล่ำผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องเข้ามาเพื่อขอให้ได้รับความคุ้มครองสิทธิในการรับมฤดกของผู้ร้องตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา ๕๗ (๑) ซึ่งบัญญัติไว้เพื่อให้บุคคลที่ ๓ ได้รับความคุ้มครองสิทธิของตนที่มีอยู่โดยทันที่ ไม่จำต้องฟ้องคดีหลายเรื่อง และไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากคู่ความเช่นอนุมาตรา ๒ และคดีนี้ผู้ร้องได้อุทธรณ์คำสั่งทันทีตามที่กฏหมายอนุญาตไว้ ก่อนศาลพิพากษาคดี ผู้ร้องไม่มีโอกาสที่จะขอให้ยกเลิกเพิกถอนคำพิพากษาได้ แต่กระนั้นผู้ร้องก็ได้ขอให้รอการพิพากษาคดีไว้ การที่ศาลชั้น้นพิพากษาให้จำเลยและกองมฤดกของนางเลี๊ยบต้องรับผิดในหนี้สินรายนี้ ทั้ง ๆ ที่ผู้ร้องกำลังอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นอยู่นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธณ์ ให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเสีย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่.