คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4339/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม แม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะมิได้ระบุโดยแจ้งชัดว่าห้ามจำเลยนำที่ดินพิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าช่วง แต่ก็ระบุว่าโจทก์ยอมให้จำเลยในฐานะผู้เช่าเดิมใช้ที่ดินพิพาทต่อไปได้อีกจนถึงวันที่ 1 มีนาคม 2539 ซึ่งหมายความว่าให้จำเลยเป็นผู้ใช้และจะส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์ในวันที่ 2 มีนาคม2539 แต่ก่อนครบกำหนดจำเลยกลับนำไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงใช้ที่ดินพิพาทแทน เป็นการประกอบกรรมอันเป็นเหตุให้โจทก์ต้องรับภาระเพิ่มขึ้นจากสัญญาประนีประนอมยอมความและเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมโจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยออกจากที่ดินพิพาทนั้นได้ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2536โดยพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยว่าโจทก์ยอมให้จำเลยใช้ที่ดินพิพาทจนถึงวันที่ 1 มีนาคม 2539และยอมให้ความร่วมมือต่อทางราชการในการที่ผู้เช่าขออนุญาตเปิดเขื่อนต่อทางราชการ โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายส่วนจำเลยยอมชำระค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 15,000 บาทชำระทุกวันที่ 1 ของเดือนเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2536รวมทั้งยอมชำระค่าเสียหายก่อนฟ้องให้โจทก์เป็นเงิน 80,000 บาทในวันที่ 1 กันยายน 2536 ถ้าจำเลยผิดนัดชำระเงินงวดใดงวดหนึ่งและผิดนัดในเรื่องที่โจทก์ยอมให้จำเลยใช้ที่ดินพิพาท จำเลยยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีโดยให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ส่วนทรัพย์สินที่อยู่บนที่ดินพิพาทให้ตกเป็นของโจทก์ คู่ความไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดนอกเหนือไปจากนั้นอีกค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
ในวันที่ 20 ตุลาคม 2537 โจทก์ยื่นคำร้องขอว่า จำเลยให้ผู้อื่นเช่าช่วงที่ดินพิพาท เป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความขอให้ออกหมายบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้มีข้อความห้ามจำเลยให้ผู้อื่นเช่าช่วงที่ดินพิพาทไม่อาจออกหมายบังคับคดีให้ได้ ให้ยกคำร้องขอ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อดำเนินการต่อไปตามคำขอของโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว แม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะมิได้ระบุโดยแจ้งชัดว่าห้ามจำเลยนำที่ดินพิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงก็ตาม แต่ก็ระบุว่า โจทก์ยอมให้จำเลยในฐานะผู้เช่าเดิมใช้ที่ดินพิพาทต่อไปได้อีกจนถึงวันที่ 1 มีนาคม 2539ซึ่งหมายความว่าให้จำเลยเป็นผู้ใช้และจะส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์ในวันที่ 2 มีนาคม 2539 แต่จำเลยมิได้ใช้ที่ดินพิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความอีกต่อไปกลับนำไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงใช้ที่ดินพิพาทแทนจำเลย เป็นการประกอบกรรมอันเป็นเหตุให้โจทก์ต้องรับภาระเพิ่มขึ้นจากสัญญาประนีประนอมยอมความและเมื่อจำเลยกระทำการดังกล่าวหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม จึงเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมโจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยออกจากที่ดินพิพาทนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share