คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4325/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยนำสืบพยานบุคคลว่าสัญญากู้เอกสาร จ.1 เป็นเรื่องจำเลยซื้อที่ดินโจทก์และจำเลยค้างชำระค่าที่ดินแล้วทำสัญญากู้ให้สมมีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้แล้วให้โจทก์ยึดถือไว้แทนโดยตกลงกันว่าเมื่อจำเลยชำระราคาที่ดินแล้วโจทก์จะทำลายสัญญากู้ทิ้ง ต่อมาจำเลยชำระราคาที่ดินครบถ้วนและโจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินให้จำเลยแล้ว โจทก์กลับนำสัญญากู้ดังกล่าวไปกรอกข้อความและนำมาเป็นหลักฐานฟ้องจำเลยดังนี้เป็นการนำสืบว่าสัญญากู้เป็นสัญญาปลอม และเป็นการนำพยานบุคคลเข้าสืบเพื่อทำลายล้างเอกสารทั้งฉบับ จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นภริยานายเพี้ยน ผ่องวาสนา นายเพี้ยนและจำเลยกู้เงินโจทก์ 33,000 บาท ถึงกำหนดชำระหนี้ คนทั้งสองไม่ได้ชำระหนี้ นายเพี้ยนถึงแก่กรรม จำเลยในฐานะเป็นภริยาและผู้ครอบครองทรัพย์มรดกของนายเพี้ยน ต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน39,187 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีของต้นเงิน33,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยและนายเพี้ยนไม่เคยกู้เงินโจทก์ความเป็นจริงมีว่านางทองย้อย ต้องประสงค์และโจทก์ซึ่งเป็นญาติกัน ได้ขายที่ดินให้จำเลยในราคา 53,000 บาท จำเลยชำระราคาให้นางทองย้อยและโจทก์ 2 ครั้ง เป็นเงิน 25,000 บาท คงค้าง28,000 บาท จะชำระในวันจดทะเบียน โจทก์ให้นายเพี้ยนลงชื่อในสัญญากู้ฉบับพิพาทช่องผู้กู้ และจำเลยลงชื่อช่องพยาน โดยไม่มีการกรอกข้อความ เพื่อเป็นหลักฐานว่าผู้ขายได้ส่งมอบที่ดินให้แล้ว ต่อมานางทองย้อยกับโจทก์ได้รับเงินจำนวน 28,000 บาทแล้วจึงไปจดทะเบียนโอนที่ดินเป็นของจำเลยในลักษณะให้ เพื่อหลีกเลี่ยงค่าภาษีและค่าธรรมเนียม สัญญากู้ฉบับพิพาทเป็นสัญญาปลอม ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 คงฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยนำสืบว่ามิได้กู้เงินตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 และการให้ที่ดินตามเอกสารหมาย ล.1 ความจริงเป็นการซื้อขายที่ดินนั้น เป็นการสืบพยานบุคคลแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยนำสืบพยานบุคคลว่า สัญญากู้เอกสารหมาย จ.1เป็นเรื่องจำเลยซื้อที่ดินจากโจทก์และนางทองย้อยในราคา 53,000บาท จำเลยชำระราคาที่ดินให้โจทก์และนางทองย้อยแล้ว 25,000บาท คงค้าง 28,000 บาท ซึ่งกำหนดชำระภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์2526 เงินส่วนที่เหลือนี้โจทก์ให้นายเพี้ยนสามีจำเลยลงชื่อในสัญญากู้ไว้โดยไม่ได้กรอกข้อความและตกลงกันว่า ถ้าชำระราคาที่ดินแล้ว โจทก์จะฉีกสัญญากู้ดังกล่าวทิ้ง ต่อมาวันที่ 13 กุมภาพันธ์2526 จำเลยนำเงินที่เหลือไปชำระให้ครบถ้วนแล้ว วันรุ่งขึ้นโจทก์นางทองย้อยและจำเลยได้พากันไปจดทะเบียนโอนยกที่ดินให้จำเลยแทนการซื้อขายที่ดินที่สำนักงานที่ดินจังหวัดอ่างทอง เพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมตามเอกสารหมาย ล.1 ต่อมาโจทก์กลับนำสัญญากู้ไปกรอกข้อความว่า นายเพี้ยนกู้เงินโจทก์ไป33,000 บาท ซึ่งความจริงไม่มีการกู้เงินกันเลย ดังนี้ จำเลยย่อมนำพยานบุคคลเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เพราะเป็นการสืบว่า สัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นสัญญาปลอมเพื่อทำลายล้างเอกสารนั้นทั้งฉบับ ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 แต่อย่างใด”
พิพากษายืน

Share