คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 714/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หนังสือมอบอำนาจที่กระทรวงในรัฐบาลแต่งตั้งบุคคลให้ฟ้องคดีแทน แม้มิได้ปิดอากรแสตมป์ก็ไม่ทำให้เสียไปเพราะได้รับยกเว้นตาม ป. รัษฎากร
จำเลยปลูกบ้านบนที่ราชพัสดุซึ่งเป็นที่ดินที่ใช้ในราชการกระทรวงกลาโหมโดยกองทัพบก บ้านย่อมเป็นส่วนควบของที่ดิน เมื่อกองทัพบกโอนที่ดินให้โจทก์จึงเท่ากับโอนบ้านให้แก่โจทก์ด้วย
ข้อตกลงที่ว่า จำเลยยกบ้านพิพาทให้แก่กองทัพบกโดยกองทัพบกตกลงให้จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทได้ตลอดไปจนกว่ากองทัพบกจะใช้ประโยชน์อย่างอื่นนั้นเข้าลักษณะสิทธิอาศัยซึ่งเป็นทรัพยสิทธิอย่างหนึ่งเมื่อไม่ได้จดทะเบียนทรัพยสิทธิดังกล่าวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่บริบูรณ์ ใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและอาคารเลขที่ 300 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไทกรุงเทพมหานคร ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์จนถึงวันฟ้องจำนวน 27,040 บาท และให้เสียดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยชำระเสร็จกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,800 บาท นับแต่วันฟ้องไป จนกว่าจำเลยและบริวารออกจากที่ดินและอาคารของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินและอาคารพิพาทต่อไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในอาคาร จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยออกจากอาคาร โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องเรียกมานั้นก็สูงเกินกว่าความเป็นจริง โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิในอาคาร
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและอาคารเลขที่ 300 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไทกรุงเทพมหานคร ของโจทก์ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2525จนกว่าจะขนย้ายออกไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ส่วนที่ว่าหนังสือมอบอำนาจมิได้ปิดอากรแสตมป์ แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงไม่เป็นปัญหาที่ได้ว่ากล่าวมาแต่ศาลชั้นต้น แต่ศาลฎีกาก็จะวินิจฉัยให้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและเห็นว่าโจทก์เป็นกระทรวงในรัฐบาล ได้รับยกเว้นไม่ต้องปิดอากรแสตมป์หนังสือมอบอำนาจตามประมวลรัษฎากรดังนี้ หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ของโจทก์ จึงชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า บ้านพิพาทกรรมสิทธิ์ยังเป็นของกองทัพบกเพราะกองทัพบกไม่ได้ส่งมอบให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยนั้น เห็นว่า ที่ดินที่จำเลยใช้ปลูกบ้านพิพาทเป็นที่ราชพัสดุที่กระทรวงกลาโหมโดยกองทัพบกได้โอนให้แก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 11 ว่าให้โอนบรรดาที่ราชพัสดุที่กระทรวง ทบวง กรม ได้มา เป็นของกระทรวงการคลัง ดังนี้ บ้านพิพาทซึ่งปลูกสร้างในที่ดินแปลงดังกล่าวและเป็นส่วนควบกับที่ดินแปลงนั้น ย่อมต้องโอนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ด้วย ที่จำเลยนำสืบว่า กองทัพบกไม่ได้ส่งมอบบ้านพิพาทให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า บ้านพิพาทเป็นส่วนควบของที่ดิน เมื่อกองทัพบกโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์จึงเท่ากับโอนบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ด้วย กรณีฟังได้ว่าบ้านพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้อง…
สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยทำนิติกรรมยกบ้านพิพาทให้กองทัพบกโดยกองทัพบกตกลงให้จำเลยอยู่อาศัยในบ้านพิพาทได้ตลอดไปจนกว่ากองทัพบกจะใช้ประโยชน์อย่างอื่น เป็นสัญญาต่างตอบแทน นั้นเห็นว่า ถึงแม้จะมีข้อตกลงเป็นการตอบแทนกันดังกล่าว ข้อตกลงนั้นเข้าลักษณะสิทธิอาศัยซึ่งเป็นทรัพยสิทธิอย่างหนึ่ง เมื่อมิได้มีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่บริบูรณ์ ใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทเมื่อไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ต่อไป ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกไปได้…”
พิพากษายืน

Share