คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่โจทก์หาว่า จำเลยปลอมหนังสือสำคัญในราชการนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าทางราชการไม่เสียหายแล้ว ส่วนข้อที่ว่าอาจจะเกิดการเสียหายหรือไม่นั้น หากกรณีเป็นที่สงสัย โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความชัด มิฉะนั้นไม่ถือว่าอาจจะเกิดการเสียหายและศาลพิพากษายกฟ้อง(อ้างฎีกา866-870/2484)

ย่อยาว

ได้ความว่า จำเลยเป็นพลาธิการโรงพยาบาลอานันทมหิดล จำเลยได้ยืมเงินทดรองไปซื้อของใช้ราชการโรงพยาบาล 1,000 บาท ได้ซื้อของมาจากร้าน จ. 850 บาท จ. เจ้าของร้านออกใบรับให้ จำเลยได้ส่งใบรับกับสิ่งของให้กรรมการตรวจนับเรียบร้อยแล้ว แต่ขัดข้องการเบิกเงินเพราะเมื่อรวมใบรับอื่น เงินเกิน 1,000 บาทไป จำเลยได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชาแยกใบรับเงินออกส่งแทนเป็น 2 ฉบับแต่ปรากฏว่าใบรับเงินที่จำเลยส่งแทนนี้ จ. มิได้ลงลายมือชื่อ และจำเลยได้ยืมเงินทดรองไปซื้อของอีกรายหนึ่ง 850 บาทได้รับเงินไปแล้วแต่จำเลยหาใบรับให้กรรมการตรวจรับรองของไม่พบ จึงให้ช. ทำใบรับเงินของร้านไพโรจน์พาณิช ลงชื่อไพโรจน์เป็นผู้รับเงิน ส่งให้กรรมการตรวจรับของแทน เมื่อพบใบรับเงินที่หายจำเลยจึงเอาใบรับเงินที่ทำแทนนั้นให้ พ. เจ้าของร้านขีดฆ่า ลงชื่อ พ. เป็นผู้รับเงินและคืนใบรับเงินเดิมให้ พ. โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทำใบรับเงินของร้านทั้ง 2 ดังกล่าวปลอม จำเลยปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยมีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 224, 227 เป็น 2 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 1 ปี

ศาลทหารกลางเห็นว่า คดียังไม่พอจะฟังว่า การกระทำของจำเลยอาจจะเกิดความเสียหายแก่ทางราชการได้ (อ้างฎีกา 866-870/2484) พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยฟังว่า ทางราชการไม่เสียหาย ส่วนข้อที่ว่าอาจจะเกิดการเสียหายขึ้นได้หรือไม่นั้น ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า ต้องแล้วแต่กรณีเป็นเรื่อง ๆ ไป บางกรณีเห็นได้ชัดจากการกระทำนั้นเองว่า อาจเกิดความเสียหายหรือไม่ ถ้ากรณีได้เป็นที่สงสัย โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความชัด คดีนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบให้ได้ความดังกล่าว จึงไม่พอจะถือว่าอาจเกิดความเสียหายแก่ทางราชการได้ ฎีกาที่โจทก์อ้างไม่เหมือนเรื่องนี้

พิพากษายืน

Share