แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำนองโอนทรัพย์ที่จำนองบุคคลภายนอกไป เมื่อผู้รับ+บอกกล่าวความประสงค์บังคับจำนองแก่ผู้รับโอนแล้วสิทธิจำนองย่อมครอบถึงดอก+แห่งทรัพย์ที่จำนอง แต่นั้นผู้รับจำนองมีสิทธิจะเรียกผู้รับโอนทรัพย์สินจำนองส่งมอบดอกผลที่เกิดขึ้นแท้จริงให้แก่ตน แต่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนอื่นใดอีกมิได้
โจทก์ส่งพะยานเอกสารเพิ่มเติมติดท้ายอุทธรณ์ขึ้นมาด้วยศาลอุทธรณ์จะรับฟังพะยานหลักฐานเช่นนี้หรือไม่ย่อมอยู่+ดุลยพินิจของศาลล่าง
สนธิสัญญาทางไมตรีระหว่างสยามกับอังกฤษ หมายเหตุ โจทก์ฎีกา วันที่ 8 มีนาคม 2480
ย่อยาว
ได้ความว่าเดิม ช.จำนองเรือโป๊ะจ้าย ๒ ลำ เรือกลไฟ ๒ ลำไว้แก่โจทก์ และเอาไปขายไว้แก่จำเลยทั้ง ๓ บัดนี้โจทก์จะบังคับจำนองจึงฟ้องขอให้จำเลยส่งมอบเรือทั้ง ๔ ลำเพื่อขายทอดตลาดใช้หนี้โจทก์ และให้จำเลยส่งดอกผลอันเกิดแก่เรือทั้ง ๔ ลำนั้น นับแต่วันบอกความประสงค์จะบังคับจำนองต่อไป
ศาลชั้นต้นฟังว่า ช.เป็นลูกหนี้โจทก์ซึ่งจะบังคับจำนองได้เพียง ๙๐๐๐ บาทจึงพิพากษาให้จำเลยทั้ง ๓ ส่งมอบเรือ ๔ ลำให้โจทก์ให้จำเลยส่งดอกผลที่ได้รับจากเรือโป๊ะจ้ายลำหนึ่งเดือนละ ๓๕๐ บาทอีกลำหนึ่งเดือนละ ๕๐๐ บาทและเรือกลไฟ ๒ ลำ ๆ ละ ๒๐๐ บาทต่อเดือน ให้โจทก์นับแต่วันบอกกล่าวบังคับจำนองเป็นต้นไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยส่งดอกผลที่ได้รับจากเรือโป๊ะจ้ายลำหนึ่ง ๓๐๐ บาทต่อเดือน และจากเรือกลไฟ ๒ ลำ ๆ ละ ๔๐ บาท ต่อเดือน นอกนั้นยืนตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตัดสินว่าที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ไม่ยอมรับเอกสารหลักฐานที่โจทก์ส่งในชั้นอุทธรณ์นั้นเห็นว่าตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.๘๖ ศาลอุทธรณ์ก็ดี ศาลฎีกาก็ดีมีอำนาจรับหลักฐานใหม่หรือเรียกพะยานบุคคลมาสืบได้ แต่ทั้งนี้อยู่ในดุลยพินิจของศาลเอง เมื่อไม่มีเหตุ+สมควรศาลอุทธรณ์จะไม่รับฟังเอกสารที่โจทก์เพิ่งจะยื่นในชั้นอุทธรณ์ก็ได้ ในข้อที่โจทก์ฎีกาว่าที่ศาลอุทธรณ์แก้ศาลชั้นต้นในเรื่องจำนวนดอกผลที่จำเลยต้องส่งให้โจทก์ไม่ชอบนั้น เห็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกผลที่เกิดจากทรัพย์จำนองตามความจริงโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกผลที่โจทก์หรือคนอื่นคาดหมายว่าจะได้จากทรัพย์จำนอง สิทธิของโจทก์ตาม ม.๗๒๑ ไม่ใช่สิทธิที่จะได้ค่าสินไหมทดแทนการขาดประโยชน์เพราะสัญญาจำนองมิได้มอบกรรมสิทธิทรัพย์จำนองให้แก่ผู้รับจำนอง ทรัพย์สินจำนองก็ยังคงอยู่ในความครอบครองของผู้จำนอง และตามม.๗๒๑ ต้องหมายความว่าดอกผลนั้นเป็นดอกผลที่ผู้จำนองได้เก็บไว้จริงเท่านั้น และเมื่อศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินตามข้อเท็จจริงว่าไม่มีทางสงสัยว่าจำเลยได้คิดค่าเช่าอย่างถูกด้วยการสมยอมแล้ว ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้จึงตกไปพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ยกฎีกาโจทก์