คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 430/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอดำเนินสะดวกว่า จำเลยออกเช็คไม่มีเงิน แล้วจำเลยมาฟ้องว่าโจทก์ไปแจ้งความเท็จที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านแพ้ว การที่จำเลยฟ้องโจทก์โดยระบุสถานีตำรวจที่โจทก์ไปแจ้งความผิดจากความจริงไปนั้น ไม่ใช่เนื้อหาของการกระทำผิดอาญาฐานแจ้งความเท็จ จะถือว่าจำเลยกระทำผิดฐานฟ้องเท็จหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2511 เวลากลางวัน จำเลยนำความเท็จไปฟ้องต่อศาลจังหวัดสมุทรสาครหาว่าโจทก์ทำผิดอาญาฐานแจ้งความเท็จ โดยบรรยายฟ้องเป็นใจความว่า”เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2510 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 (โจทก์ในคดีนี้) นำความที่รู้อยู่เป็นเท็จไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาครว่า นายแม้ขายน้ำมันให้นางพจนีย์ แล้วนางพจนีย์จ่ายด้วยเช็ค 2 ฉบับแล้ว นายแม้นำเช็คสองฉบับไปแลกเงินนายทองเพียว นายทองเพียวไปขอรับเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงมาแจ้งความว่านางพจนีย์สมคบกับนายแม้โกงออกเช็คไม่มีเงินให้นายทองเพียว” ซึ่งเป็นความเท็จ เพราะโจทก์มิได้ไปแจ้งความในคดีอาญาดังที่จำเลยกล่าวบรรยายฟ้อง โจทก์ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่ศาลจังหวัดสมุทรสาคร ตำบลมหาชัย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งมีว่าการที่โจทก์ไปแจ้งความต่อสถานีตำรวจภูธรอำเภอดำเนินสะดวกจังหวัดราชบุรี แล้วจำเลยฟ้องโจทก์ว่าโจทก์ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาครนั้น จำเลยจะมีความผิดฐานฟ้องเท็จหรือไม่

ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลล่างทั้งสองฟังต้องกันว่าเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2510 โจทก์ไปแจ้งความต่อสถานีตำรวจภูธรอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี กล่าวหาว่าจำเลยออกเช็คไม่มีเงิน และนายแม้เป็นผู้นำเช็คไปใช้ แล้วจำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยกล่าวหาว่าโจทก์แจ้งความเท็จ โดยในวันดังกล่าวโจทก์ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธร อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาครซึ่งความจริงโจทก์ไม่ได้ไปแจ้งความต่อสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านแพ้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้กล่าวหาว่าจำเลยฟ้องเท็จ

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 บัญญัติว่า”ผู้ใดเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญาหรือว่ากระทำความผิดอาญาแรงกว่าที่เป็นความจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีและปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท” ดังนี้ การที่จะเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จตามมาตรานี้ จึงอยู่ที่การกระทำความผิดอาญาที่กล่าวหาว่าเป็นเท็จหรือไม่ สำหรับคดีนี้ก็คือ ที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยออกเช็คไม่มีเงินให้นายแม้ไปใช้ เป็นความเท็จหรือไม่ แต่โจทก์ก็หาได้ฟ้องจำเลยว่าฟ้องเท็จในการกระทำผิดอาญาดังกล่าวนี้ไม่กลับกล่าวหาว่าจำเลยฟ้องเท็จเพราะโจทก์ไม่ได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านแพ้ว แต่โจทก์แจ้งที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอดำเนินสะดวก ซึ่งไม่ใช่เนื้อหาของการกระทำความผิดอาญาจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฟ้องเท็จ ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share