คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4276/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนมีประเด็นว่า โจทก์ขอให้บังคับจำเลยรื้ออาคารชั้นที่ 28 ถึงชั้นที่ 30 ได้หรือไม่ แต่ในคดีนี้มีประเด็นว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาเรียกเงินและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้หรือไม่ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีก่อนกับคดีนี้จึงต่างกัน แม้ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำมาเป็นเหตุฟ้องจะมีอยู่แล้วในขณะโจทก์ฟ้องคดีก่อนแต่ก็เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาหรือจะบอกเลิกสัญญา เมื่อคดีก่อนศาลไม่อาจบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้ โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและฟ้องจำเลยอีกได้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อขายอาคารชุดที่พักอาศัยเมืองทองธานีจากจำเลย โดยจำเลยตกลงจะก่อสร้างอาคารสูง 27 ชั้น พร้อมสาธารณูปโภคเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้อาศัย และสัญญาว่าจะติดตั้งมิเตอร์น้ำประปาแยกต่างหากในแต่ละห้องชุดเพื่อคิดค่าน้ำประปาตามจำนวนที่ใช้จริงแต่จำเลยกลับปฏิบัติผิดสัญญาก่อสร้างอาคารชุดสูงถึง 30 ชั้น โดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบและมิได้สร้างสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นตามส่วนแต่อย่างใด นอกจากนี้จำเลยยังไม่ยอมติดตั้งมิเตอร์น้ำประปาแยกต่างหากของแต่ละห้องชุด ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาล เพื่อขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญา โดยให้รื้อถอนอาคารชุดที่ก่อสร้างเพิ่มเติม ชั้นที่ 28 ถึงชั้นที่ 30 ออกเสีย และให้จำเลยติดตั้งมิเตอร์น้ำประปาแยกต่างหากในแต่ละห้องชุดและร้านค้า ซึ่งต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 4495/2540 วินิจฉัยว่า”เมื่อโจทก์เห็นว่าจำเลยก่อสร้างอาคารสูงกว่าที่ตกลงกันไว้ อันเป็นการผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้เท่านั้น โจทก์หามีสิทธิบังคับจำเลยให้รื้อถอนอาคารชั้น 28 ถึงชั้นที่ 30 ไม่ ส่วนเรื่องมิเตอร์น้ำประปานั้น ให้จำเลยติดตั้งให้แก่โจทก์ตามสัญญา” ดังนั้นเมื่อจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ โจทก์จึงมอบหมายให้ทนายความมีหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยและขอเงินที่โจทก์ชำระให้แล้วคืนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินแต่ละงวดนับแต่วันที่ชำระจนถึงวันฟ้อง และขอคิดค่าเสียหายที่ขาดประโยชน์อันพึงได้รับจากมูลค่าห้องชุดที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 1,743,451.12 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงิน 1,321,602 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำเพราะโจทก์เคยฟ้องจำเลยต่อศาลซึ่งศาลได้วินิจฉัยในประเด็นเรื่องจำเลยผิดสัญญาหรือไม่ และคดีถึงที่สุดแล้ว แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกทั้งจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาเพราะตามสัญญาซื้อขายไม่มีข้อความว่า จำเลยต้องสร้างอาคารชุดจำนวน 27 ชั้น ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยติดตั้งมิเตอร์น้ำประปาแยกต่างหากสำหรับห้องชุดที่โจทก์ซื้อแล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระราคา 1,067,826.16 บาท แก่จำเลย คำพิพากษาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์และจำเลยให้ต้องปฏิบัติตาม แต่เมื่อโจทก์และจำเลยยังไม่ได้ปฏิบัติตาม โจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา และเรียกเงินคืนจากจำเลย ทั้งโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายเกี่ยวกับราคาห้องชุดดังกล่าวเพราะยังไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ไปจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีตามคำพิพากษาฎีกาที่ 4495/2540 เพราะสิทธิของโจทก์ตามข้อกล่าวอ้างในคดีนี้เกิดมีอยู่แล้วในขณะยื่นฟ้องคดีก่อน เพราะคดีก่อนโจทก์ก็ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้วจึงฟ้องคดี ทั้งคำขอในคดีนี้ของโจทก์ก็มีอยู่แล้วในขณะฟ้องคดีก่อนและโจทก์สามารถที่จะขอรวมมาในฟ้องคดีก่อนได้ กรณีการใช้สิทธิตามคำขอบังคับคดีนี้ของโจทก์และในคดีก่อนก็เป็นผลจากเหตุแห่งคำวินิจฉัยในประเด็นที่ว่าจำเลยผิดสัญญาโดยก่อสร้างอาคารผิดจากข้อสัญญาหรือไม่ อันเป็นเหตุเดียวกัน แม้โจทก์จะมีคำขอบังคับต่างกันก็ตาม เห็นว่า แม้มูลเหตุที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีก่อนและคดีนี้จะมาจากเหตุที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาเช่นเดียวกัน แต่ในคดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาคือรื้อถอนอาคารชั้นที่ 28 ถึงชั้นที่ 30 และติดตั้งมิเตอร์น้ำประปาแยกกันในแต่ละห้องชุดและร้านค้า โดยที่โจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยดังที่จำเลยอ้าง ในคดีก่อนศาลมีคำพิพากษาว่า การที่จำเลยก่อสร้างอาคารเพิ่มจาก 27 เป็น 30 ชั้นนั้น จำเลยผิดสัญญาจริงแต่ไม่อาจบังคับให้จำเลยรื้ออาคารชั้นที่ 28 ถึงชั้นที่ 30 ได้เช่นนี้เมื่อโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาได้ จึงได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยและขอให้บังคับให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระให้จำเลยพร้อมเรียกค่าเสียหายแม้ว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำมาเป็นเหตุฟ้องในคดีนี้ จะมีอยู่แล้วในขณะโจทก์ฟ้องคดีก่อนแต่เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาหรือจะบอกเลิกสัญญาเพราะหากในคดีก่อนที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาและศาลมีคำพิพากษาบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้ โจทก์ก็ไม่มีเหตุที่จะบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยและมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ แต่เมื่อศาลไม่อาจบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้ โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ประเด็นแห่งคดีที่ต้องวินิจฉัยในคดีก่อนกับคดีนี้จึงต่างกัน เพราะในคดีก่อนมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ขอบังคับให้จำเลยรื้ออาคารชั้นที่ 28 ถึงชั้นที่ 30 ได้หรือไม่ แต่ในคดีนี้ต้องวินิจฉัยว่าโจทก์บอกเลิกสัญญา เรียกเงินคืนและเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ เพียงใด การฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4495/2540 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share