แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่จำเลยอ้างว่าผู้ตายใช้ให้จำเลยไปยืมเงินผู้อื่นมาให้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเกิดเหตุ และจำเลยชอบที่จะต้องดำเนินการเรียกร้องบังคับให้ผู้ตายชำระหนี้ให้จำเลยตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ส่วนถ้อยคำที่ผู้ตายพูดกับจำเลยที่เป็นคำก้าวร้าว หยาบคายเป็นเรื่องที่ไม่สมควรที่จะกล่าวออกมา และเป็นที่ระคายเคืองแก่จำเลยอยู่บ้างก็ไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจึงมิใช่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2547 เวลากลางวันจำเลยใช้อาวุธปืนพกออโตเมติกขนาด .45 (11 มม.) หมายเลขทะเบียน กพ 4/12507 ยิงร้อยตำรวจเอกสุรวุฒิ ที่ศีรษะด้านหลัง 1 นัด โดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้ร้อยตำรวจเอกสุรวุฒิถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 33 ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยให้การว่า ไม่มีเจตนาฆ่าและกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 20 ปี หลังเกิดเหตุจำเลยยอมมอบตัวและนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 10 ปี ริบของกลางทั้งหมด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง จำเลยใช้อาวุธปืนขนาด .45 (11 มม.) ของกลางยิงร้อยตำรวจเอกสุรวุฒิ ที่ศีรษะด้านหลัง 1 นัด เป็นเหตุให้ร้อยตำรวจเอกสุรวุฒิถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยยิงผู้ตายโดยมิได้มีเจตนาฆ่า และกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่ โจทก์มีนางสาวธลธาร เป็นประจักษ์พยานโจทก์เบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลา 12.30 นาฬิกา พยานกับพนักงานของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ไปหาผู้ตายที่สถานีตำรวจนครบาลดินแดงเพื่อให้ผู้ตายช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยกรณีที่พนักงานของธนาคารดังกล่าวโอนเงินเข้าบัญชีของพยานเกินจำนวนไป เมื่อไปถึงสถานีตำรวจนครบาลดินแดงได้มีการพูดคุยเจรจากันต่อหน้าผู้ตายภายในห้องปฏิบัติการฝ่ายสืบสวน เมื่อเจรจาตกลงกันได้แล้วได้มีการทำบันทึกข้อตกลงขึ้นโดยให้ผู้ตายลงชื่อในบันทึกไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นผู้ตายเดินไปที่ประตูทางออกห้องปฏิบัติการฝ่ายสืบสวนและหยุดยืนอยู่ที่ประตู พยานเห็นจำเลยเดินตามผู้ตายออกไปโดยหยุดอยู่ห่างจากด้านหลังผู้ตายไม่ถึง 1 เมตร แล้วจำเลยยกอาวุธปืนขึ้นชี้ยิงไปที่ด้านหลังศีรษะผู้ตายจำนวน 1 นัด ผู้ตายล้มลง พยานตกใจจึงวิ่งเข้าไปหลบในห้องด้านหลัง นอกจากนี้โจทก์มีนายนิวัฒน์ และดาบตำรวจมานิตย์ เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่าเวลาเกิดเหตุพยานทั้งสองอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ โดยเมื่อมีเสียงปืนดังขึ้นพยานทั้งสองเห็นผู้ตายล้มลงและเห็นจำเลยถืออาวุธปืนของกลางยืนอยู่ด้านหลังผู้ตาย ส่วนจำเลยนำสืบต่อสู่ว่าใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายโดยมิได้มีเจตนาฆ่าและเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เห็นว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจย่อมต้องมีความชำนาญในการใช้อาวุธปืนของจำเลยเอง พฤติการณ์ที่จำเลยเดินตามหลังผู้ตายออกไปยืนอยู่ห่างจากผู้ตายไม่ถึง 1 เมตร แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนของกลางซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างสูง และสามารถก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตได้โดยง่าย ยิงผู้ตายในระยะใกล้ในลักษณะหาโอกาสเลือกยิงและกระสุนปืนถูกศีรษะของผู้ตายอันเป็นอวัยวะส่วนสำคัญเช่นนี้ แม้จะเป็นการยิงเพียงนัดเดียวก็ต้องถือว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย ที่จำเลยมิได้ยิงผู้ตายตั้งแต่พบครั้งแรกในวันเกิดเหตุเป็นเพียงพฤติการณ์ชี้ว่าจำเลยมิได้ตระเตรียมวางแผนมากระทำความผิดมาก่อน แต่ไม่เป็นเหตุผลที่แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่า ส่วนที่จำเลยต่อสู้โดยอ้างว่า เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะเนื่องจากจำเลยไปกู้ยืมเงินของบุคคลภายนอกมาให้ผู้ตายตามที่ผู้ตายใช้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดเจ้าหนี้ทวงถามจากจำเลยหลายครั้ง จำเลยไปทวงถามเอาจากผู้ตาย แต่ผู้ตายไม่ยอมคืนให้ ทั้งผู้ตายยังได้พูดกับจำเลยว่า “ควย มาทวงอะไรมากมาย” “ควย กูไม่ให้ ให้โคตรพ่อโคตรแม่มึงมาทวงซิ” และ “ควย กูไม่ให้แล้ว” บ้าง เป็นเหตุให้จำเลยโกรธและใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายซึ่งถือว่าจำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะนั้น แม้หากจะเป็นดังที่จำเลยยกขึ้นกล่าวอ้างก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว และจำเลยชอบที่จะต้องดำเนินการเรียกร้องบังคับให้ผู้ตายชำระหนี้ให้จำเลยตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ส่วนถ้อยคำที่ผู้ตายพูดกับจำเลยดังที่จำเลยอ้างนั้น แม้จะเป็นถ้อยคำก้าวร้าว หยาบคายเป็นเรื่องที่ไม่สมควรที่กล่าวออกมา และเป็นที่ระคายเคืองแก่จำเลยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ฎีกาส่วนนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความมานะ วิริยะอุตสาหะ เคยได้รับประกาศชมเชยจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลมาก่อนตามเอกสารหมาย ล.1 ทั้งปรากฏจากคำเบิกความของสิบตำรวจเอกหญิงวิไลวรรณ ร้อยตำรวจเอกอัศวิน เพื่อนร่วมงานกับจำเลยและพันตำรวจโทบรรหาร พนักงานสอบสวนผู้บังคับบัญชาของจำเลยต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันว่าจำเลยเป็นผู้มีอุปนิสัยดี ไม่เคยประพฤติตนในลักษณะทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น ประกอบกับจำเลยและผู้ตายมีความสนิทสนมกัน น่าเชื่อว่าคดีนี้เกิดขึ้นจากอารมณ์โกรธ ขาดความยั้งคิดของจำเลยเพียงชั่วขณะที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยก่อนลดโทษให้จำเลยถึง 20 ปีนั้นหนักเกินไป สมควรกำหนดโทษสถานเบาลงเพื่อให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี ฎีกาส่วนนี้ของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุก 15 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 7 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์